บทสรุปฉบับแฮมแฮม

  วิธีจัดการกับปัญหาของ แอนดรูว์ คาร์เนกี ชายผู้ที่ได้ฉายาว่าเป็นราชาแห่งอุตสาหกรรม       วันนี้ผมมีเรื่องราวของ ผู้ชายคนหนึ่งครับ ที่ชื่อว่า แอนดรูว์ คาร์เนกี จะมาเล่าให้ฟัง ซึ่งถ้าคุณผู้อ่าน  ไป search ในอินเตอร์เน็ตนะครับ ก็จะพบว่า ประวัติของผู้ชายคนนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ   เพราะในวิกิพีเดียนะครับ ได้สรุปไว้ว่า เขาเป็นถึงนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ที่ได้รับฉายาว่า เป็นราชาแห่งอุตสาหกรรมกันเลยทีเดียว   เรียกได้ว่า แอนดรูว์ คาร์เนกี   เป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคนหนึ่ง ในยุคสมัยนั้นเลย ก็ว่าได้ครับ     แต่ถ้าหากเรา มองแค่ตอนที่เขาประสบความสำเร็จ  เราก็คงจะประสบความสำเร็จแบบเขาไม่ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ นะครับ ก็คือ ตัวเขา ตอนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จต่างหากครับ   คุณผู้อ่านทราบไหมครับว่า ผู้ชายคนนี้  กว่าจะมีวันนี้ได้ เขาต้องเจอกับอุปสรรคมากมายมากแค่ไหน     ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การทำธุรกิจที่มีความเครียดสะสมยิ่งกิจการขยายตัวใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเรื่องต้องเคลียร์ แล้วต้องปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น     แล้วไหนจะเรื่องการนอกใจ ปัญหาการหย่าร้างกับภรร

คนแบบไหนที่มีโอกาสทำให้แฟนของคุณนอกใจมากที่สุด     จากหนังสือที่ชื่อว่าอ่านจิตรู้ใจผุ้อื่นของ อีซามุไซโต นะครับ มีอยู่บทความหนึ่งครับ ที่เขาเขียนไว้อย่างน่าสนใจมาก ๆ     ในบทนี้  เขาได้พูดถึงวิธีการอ่านความคิดของอีกฝ่ายเกี่ยวกับสิ่งที่ปิดบังไว้ ด้วยคำถามที่ถามกันเล่น ๆ นะครับ   แต่ก่อนที่จะเริ่มเข้าเนื้อหานะครับ อันนี้ต้องบอกถึงวัตถุประสงค์ ในการนำเสนอเรื่องนี้ก่อนนะครับ ว่าผมไม่ได้ต้องการที่จะให้คุณผู้อ่านเอาเรื่องนี้ ไปตัดสินคนรักของคุณผู้อ่านว่าเป็นคนเจ้าชู้ประตูดิน หรือเป็นคนไม่ดีนะครับ   เพราะการเช็กด้วยคำถามเชิงจิตวิทยานั้น ไม่ได้จะแปลว่ามันจะถูกต้องในทุกกรณี     แล้วอีกอย่างนะครับ การถามคำถามเพื่อให้รู้ว่า อีกฝ่ายหนึ่ง เขาจะเลือกใคร หากเขาคิดจะนอกใจเรา ก็หมายความว่า เขาอาจจะแค่คิดเท่านั้นครับ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างมาก ๆ เลยนะครับ ที่ทำให้เขา  ได้แค่คิด แต่ไม่เคยกระทำ หรือไม่เคยนอกใจเรานั่นเอง     เอาล่ะครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปฟังกันเลยนะครับ     โดยความคิดที่จะนอกใจนี่นะครับ เราจะใช้ วิธีถามโดยมีแนวคิดดังนี้ครับ   เราจะให้คนที่ถูกทดสอบ  คิดไปว่า   สมมุติว่าถ้ามีคนที่เขาชอบปรากฏขึ้น

  จิตวิทยาพัฒนาตัวเอง เปลี่ยนรูปลักษณ์ เปลี่ยนชีวิต     เมื่อนานมาแล้วนะครับ ผมเคยนำเสนอเรื่องของ Halo effect ที่บอกว่า คนเรา  มักจะคิดว่า คนที่มี รูปร่างหน้าตาที่ดี  มักจะเป็นคนที่นิสัยดีไปด้วยโดยปริยาย     และด้วยปรากฏการณ์นี้แหละครับ ที่ทำให้หนุ่มหล่อสาวสวย ได้เปรียบคนหน้าตาธรรมดาอย่างพวกเราอย่างมาก     เพราะไม่ว่าพวกเขาหรือเธอ จะทำอะไรก็ตาม ก็จะดูดีไปซะหมด และในบางกรณี เมื่อพวกเขาทำผิด ก็ยังมีแนวโน้มที่คนส่วนใหญ่เนี่ย จะให้อภัย มากกว่าคนที่หน้าตาไม่ดีอีกด้วยนะครับ     ซึ่งวันนี้นะครับ ผมจะนำแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของฮาโลเอฟเฟคนี้  มาต่อยอด กันอีกสักนิดหนึ่งนะครับ      แต่คราวนี้  เราลองคิดกันดู ให้ดีสิครับว่า   เจ้าปรากฏการณ์ตัวนี้  มันจะสามารถใช้กับคนหน้าตาธรรมดาอย่างพวกเรา ได้บ้างหรือเปล่า     มันจะมีวิธีไหนไหม ที่จะทำให้ชีวิตของคนหน้าบ้าน ๆ  แบบพวกเรา เปลี่ยนไป จากหน้ามือเป็นหลังมือ     ซึ่งวิธีการที่ว่านั้น ก็ง่ายแสนง่ายเลยครับคุณผู้อ่าน   ถ้าเราอยากให้มุมมองชีวิตที่คนอื่นมีต่อเราเปลี่ยนไป สิ่งที่เราต้องทำก็คือ การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกเล็กน้อยครับ     ขอย้ำนะครับ เปลี่ยนแปลง

งานวิจัยเผย การพูดคุยกับคนแปลกหน้าจะทำให้เรามีความสุข       ผมเชื่อว่าตอนเด็ก ๆ  คุณผู้อ่านทุกคนน่าจะเคยถูกผู้ใหญ่สั่งสอนมาว่า อยากพูดคุยกับคนแปลกหน้า หรือคนที่เราไม่รู้จักโดยเด็ดขาด   เพราะบางทีเราอาจจะไปเจอกับคนไม่ดี แล้วอาจจะถูกหลอกเอาก็ได้ ซึ่งการสอนเด็ก ๆ แบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเหรอกนะครับ เพราะว่าคนไม่ดีในสังคมมันก็มีเยอะจริง ๆ นั่นแหละ   ในสังคมแบบนี้  การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับคนทุกคน อาจจะทำให้เราลำบากก็ได้นะครับ   แต่เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  ก็คงจะไม่มีแก๊งลักพาตัวเด็ก หรือนักต้มตุ๋นที่ไหน จะมาหลอกเราได้ ใช่ไหมล่ะครับ   อยากมากที่สุด เขาก็แค่เสนอขายประกันเราก็เท่านั้น     แต่จากการที่เรา กลัวการพูดคุยกับคนแปลกหน้า   ตั้งแต่เด็ก ๆ   มันจึงทำให้เมื่อเราโตมา  เราก็เลือกที่จะไม่พูดคุยกับคนที่ไม่รู้จักอยู่ดี     แต่ได้มีนักวิจัย 2 ท่านครับ จากมหาวิทยาลัยชิคาโกและมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ชื่อว่า Nicholas Appry and Juliana Shoder นะครับ เขาสองคน  ร่วมกันทำการวิจัยทดลองเกี่ยวกับการพูดคุยกับคนแปลกหน้าครับ แล้วผลลัพธ์การทดลองก็ออกมาน่าสนใจมากครับ     เพราะการทดลองนี้นะครับไ

ถ้าอยากประสบความสำเร็จจงเริ่มต้นจากเป้าหมายใกล้ ๆ ตัว         ถ้าพูดถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ หากเราสามมารถทำมันจนสำเร็จ ลุล่วงลงได้ ผมเชื่อว่า คน ๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่มีความสุขมาก ๆ อย่างแน่นอนครับ     แต่จากประสบการณ์ของคุณผู้อ่าน ก็น่าจะทราบกันดีใช่ไหมครับว่า การจะทำเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จได้นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ  แล้วดูเหมือนว่า คนจำนวนมากก็จะเลิกล้ม ไปก่อนที่จะทำสำเร็จกันซะด้วย   ที่เป็นแบบนั้นนะครับ เพราะว่าการตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเรามาก ๆ   มันต้องใช้เวลาในการทำให้สำเร็จครับ แล้วระยะห่าง ระหว่างความสำเร็จกับตัวเราในปัจจุบันนั้นมันก็กว้างเอามาก ๆ ซะด้วย     ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็เลยมักที่จะท้อแท้และก็สิ้นหวังและยอมแพ้ไปก่อน อย่างน่าเสียดาย     แต่ด้วยช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างความสำเร็จกับตัวเราในปัจจุบันนี้ล่ะครับ ที่ทำให้นักจิตวิทยาท่านหนึ่งที่ชื่อว่า   วิลเลี่ยม เจมส์   มองเห็นถึงประโยชน์จากเรื่องนี้     เจมส์บอกว่า ถ้าความเป็นไปได้ที่ซ่อนอยู่ กับความเป็นจริงแทบจะไม่ต่างอะไรกัน ผลประเมินจะสูงขึ้นครับ     สมการของแนวคิดนี้ก็ง่าย ๆ นะครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้