บทความ ซูชิ
มีคุณผู้อ่านหลายท่านนะครับ เรียกร้องบทความจาก อามีบ่า
กันเข้ามาเยอะมาก ๆ เลย อันนี้ต้องบอกครับว่า ผมก็พยายามหาบทความดี ๆ จากเว็บบล็อกของอะมีบาอยู่เหมือนกัน
แต่มันก็ติดปัญหาหลายอย่างเหมือนกันครับ
อย่างแรกก็คือเรื่องของภาษาครับ เนื่องจากผมอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก จึงต้องใช้ Google แปลในการอ่านนะครับ ซึ่งมันก็ทำให้การแปลนั้นล่าช้านิดหนึ่งนะครับ
อย่างที่สองก็คือ ดูเหมือนกับว่าเว็บนี้นะครับ
คนส่วนใหญ่ที่เขียนบล็อก จะเป็นพ่อบ้านหรือว่าไม่ก็แม่บ้านชาวญี่ปุ่นซะเป็นส่วนใหญ่ครับ
ก็จะไม่ค่อยมีเรื่องราวที่น่าสนใจให้นำมาพูดมากนักนะครับ แต่บางทีอ่านไป ก็เจอบทความน่าสนใจเหมือนกัน เช่นวันนี้นะครับ
ผมก็ได้เจอบทความสั้น ๆ เป็นการสนทนาของสองพ่อลูกที่น่าสนใจมาก ๆ นะครับ
บทความแปลเป็นไทยแล้วมีชื่อว่า
สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ในวันเกิดของลูกชาย ครับ
เป็นการเล่าเรื่องของคุณพ่อท่านหนึ่งครับ
ที่คิดที่จะเตรียมจัดงานวันเกิดให้กับลูกชาย โดยถามลูกชายออกไปตรง ๆ เลยครับว่า
วันเกิดปีนี้อยากจะกินอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า
ซึ่งลูกชายอายุ 7 ขวบก็ตอบแบบไม่ลังเลเลยครับว่าอยากกินซูชิ
คุณพ่อ ก็เลยโทรสั่งซูชิชุดใหญ่ให้มาส่งในวันเกิดครับ
ระหว่างที่กินซูชิกันอย่างเอร็ดอร่อยนะครับ คุณพ่อก็ได้เอ่ยถามกับลูกชายขึ้นมาครับว่า
ลูก ชอบซูชิหน้าไหนมากที่สุด
ซึ่งคุณพ่อนะครับ ก็คิดในใจว่าลูกชายของตัวเอง คงจะตอบว่า ชอบกินหน้าไข่หวาน
หรือไม่ก็กุ้งหวานมากที่สุดอย่างแน่นอน
แต่ปรากฏว่าผิดคาดครับ เพราะลูกชายตอบว่า ผมยังตอบไม่ได้เหรอกครับ ว่าผมชอบกินซูชิหน้าอะไรมากที่สุดเพราะยังมีซูชิอีกตั้งหลายหน้าที่ผมยังไม่เคยกินเลย
คำตอบของลูกชายนะครับ มันทำให้ตัวคุณพ่อ ได้ย้อนกลับไปคิดถึงสมัยตอนที่ตัวเองยังเด็กครับ
คือตอนเด็ก คุณพ่อนะครับ
ชอบกินซูชิหน้าไข่หวานมากที่สุดครับ จนกระทั่งเมื่อโตขึ้นมา ได้มีโอกาสกินโทโร
ถึงได้รู้ว่าโทโร่อร่อยมากแค่ไหน
และตั้งแต่นั้นเวลามีคนถามว่า
คุณพ่อชอบกินซูชิหน้าไหนคุณพ่อมักจะตอบว่าโทโร มาโดยตลอดครับ ทั้ง ๆ ที่ตัวคุณพ่อเอง
ก็ยังไม่เคยกินซูชิอีกตั้งหลายหน้า แต่เขา
กลับสรุปไปแล้วว่า
ตัวเขาชอบโทโร่มากที่สุด แล้วตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยคิดที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ อีกเลย
ดูเหมือนว่าเมื่อเราบางคนโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรามักจะหยุดค้นหา และเลิกท้าทายกับสิ่งใหม่ ๆ เรามักจะชอบและยึดติดอยู่กับสิ่งเดิม ๆ ที่เราคุ้นเคย นะครับ
เราอาจจะลืมความรู้สึกของเด็กน้อยผู้ซึ่งตื่นเต้นกับทุกสิ่งและต้องการที่จะลอง
ต้องการจะเรียนรู้ สิ่งใหม่ ๆ ทุก ๆ อย่างไปแล้วก็ได้
คุณพ่อท่านนี้จึงบอกว่าอย่าปล่อยให้เด็กน้อยคนนั้นตายจากชีวิตเราไป
เพราะชีวิตของเราทุกคนนั้น ยังอีกยาวไกล และมีอะไรอีกตั้งมากมายรอให้เราค้นเจอ
และตัวคุณพ่อท่านนี้เองก็จะเริ่มต้นในการทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ ต่อจากนี้เช่นกัน
คุณผูเฟังลองถามตัวเองดูสิครับ ว่าเรายึดติดกับสิ่งเดิม ๆ มานานมากแค่ไหนแล้ว บางครั้งการปลุกความเป็นเด็กน้อย
ผู้ซึ่งอยากรู้อยากเห็น และอยากท้าทายกับสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา
ก็ถือเป็นสีสันของชีวิตอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ครับ
ถ้าจะพูดไปแล้วชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกมากมายจริง ๆ นั่นแหละครับ
หลักฐานก็คือสิ่งที่โฆษณาไทยประกันชีวิตเคยพูดไว้ ผมก็ยังไม่เคยลองทำจนหมดเลย
เรียนแต่งหน้า นั่งสมาธิ ดำน้ำ ปลูกปะการัง
ทำอาหาร นวดสปา ปลูกป่า ดำนา ดูดิสนีย์ออนไอซ์ แรลลี่ ตีกอล์ฟ ล่องเรือ ส่องสัตว์ ชอปปิ้ง
ดูงิ้ว ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ตดินเนอร์ ทำขนม จัดดอกไม้ เที่ยวตลาดน้ำ
เรียนถ่ายรูป ดูกายกรรม ชมเมืองเก่า เข้าสัมมนา ทัวร์ธรรมะ เรียนเต้น
แล้วก็ร้องเพลง
จริง ๆ แล้วเขายกตัวอย่างมาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นครับยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่เคยทำ
รอให้เราได้ทดลองทำอยู่
ดังนั้นอย่าเพิ่งยึดติดกับบางสิ่งถ้าหากยังไม่ลองทำอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจ
สามารถฟังบทความดีๆ ในรูปแบบของพอดแคสต์ได้นะครับ
จาก บทสรุปฉบับแฮมแฮม พอดแคสต์
ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ^^
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น