บทความ ประสบการณ์การเขียนบทความออนไลน์ครบ 1 ปี
ประสบการณ์การเขียนบทความออนไลน์ครบ 1 ปี |
บทความนี้จะเป็นการประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 1 ปีเต็มกับงานอดิเรกใหม่ที่เรียกว่าการเขียนบทความของผม มันจะค่อนข้างยาวนิดนึงนะครับ
จุดเริ่มต้นของการเขียนบทความของผมเริ่มต้นอย่างไม่คาดคิด จากการที่ผมเป็นคนที่ชอบเที่ยวตามที่ต่าง ๆ แล้วถ่ายรูปลงอินสตาแกรมอยู่เสมอ วันหนึ่งก็ได้มีน้องที่รู้จักคนหนึ่ง ชื่อว่าน้องทราย เธอเข้ามาถามผมใน LINE ว่า พี่แฮมถ่ายรูปสวยนะ แล้วก็ชอบเขียนเพ้อเจ้อใน Instagram บ่อย ๆ ทำไมพี่ไม่ลองไปเขียนบทความท่องเที่ยวดูล่ะ เธอแนะนำให้ผมรู้จักกับเว็บไซต์ในการเขียนบทความท่องเที่ยว ผมเริ่มต้นด้วยความรู้สึกที่ว่าก็น่าสนุกดี อยากลองเขียนดูบ้าง เพียงเท่านั้นจริง ๆ
ผมพึ่งไปเที่ยวเขาสามมุขจังหวัดชลบุรีมา และวิวทิวทัศน์ที่มองจากบนนั้นลงมาเห็นทะเล มันช่างสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งในตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าในทีวีมีข่าวเกี่ยวกับน้ำทะเลสีฟ้าใส “บางแสนน้ำใสแล้ว” (ซึ่งมันก็สวยจริงๆนั่นแหละ) และนี่คือปัจจัยที่ทำให้คนส่วนใหญ่พยายาม Search หาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบางแสน ผมซึ่งเป็นผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ดันไปโพสบทความที่เกี่ยวกับทะเลใกล้ ๆ บางแสน ทำให้บทความของผมกลายเป็นที่ได้รับความนิยมในทันที
ผมตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะมีคนเข้ามาอ่านบทความของผมหลักพันเลยทีเดียว แล้วมีคนแชร์ให้หลายร้อยคนอีกด้วย บอกตามตรงว่าเกิดมายังไม่เคยทำอะไรแล้วมีคนให้ความสนใจเยอะขนาดนี้มาก่อน มันจึงช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่ทำให้ผมมีความประทับใจจากการเขียนบทความแรกในชีวิต ถึงแม้จะรู้ภายหลังว่า ผมเขียนภาษาไทยผิดมั่วซั่วไปหมด ไม้เอก ไม้โท สะกดไม่ถูกเลย แถมยังติดใช้ภาษาวิบัติที่ชอบแชทผ่านทาง LINE อีกด้วย
จากความประทับใจมันเริ่มกลายเป็นความสนุก แล้วช่วงเดือนธันวาคมปี 2018 ผมก็ได้ไปเที่ยวเขาค้อจังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างทางที่ขับรถไปมันดันผ่าน ทุ่งทานตะวันไร่คุณปู่ ผมก็เลยจอดเพื่อแวะถ่ายรูปซะหน่อยหลังจากกลับจากเที่ยวเขาค้อ มันก็เลยปีใหม่มาแล้ว รวมช่วงเวลาที่แต่งรูปอะไรด้วย ทำให้การเขียนบทความที่ 2 ของผมเป็นไปได้อย่างล่าช้า แต่หลังจากโพสต์บทความลงไปนั้น กลับมีคนให้ความสนใจอย่างมากอีกตามเคย ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทุกครั้งที่ผมเขียนบทความมักจะมีคนให้ความสนใจเสมอ แต่ความจริงแล้ว ช่วงเดือนมกราคมมันเป็นช่วงที่ดอกทานตะวันเริ่มเฉาแล้ว คนจำนวนมากจึงพยายาม Search หาทุ่งทานตะวันที่ยังถ่ายรูปได้อยู่ ทำให้บทความของผมกลายเป็นที่นิยมอีกครั้ง
ดูเหมือน 2 บทความแรกในชีวิตที่ผมได้เขียนลงไปในอินเทอร์เน็ต คือบทความตามกระแสที่ผมโพสต์ช่วงที่คนกำลังมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นพอดี ถึงแม้ตัวผมในตอนนั้นจะยังไม่รู้เรื่องนี้เลยก็ตาม
เมื่อมีคนอ่านเยอะผมก็เริ่มสนุกกับการที่เขียนบทความมากขึ้น และพยายามเสาะแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อที่จะได้ไปเที่ยว และจะได้นำเรื่องราวกลับมาเขียนบทความอีกครั้ง แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จะเขียนบทความทั้งที ก็สร้างเพจขึ้นมาเลยก็แล้วกัน จะได้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการโปรโมทบทความของตัวเอง ผมจึงไปชักชวนกับน้องทราย ผู้เป็นคนริเริ่มและจุดประกายให้ผมเข้ามาอยู่ในวงการของนักเขียนระหว่างที่กำลังทาบทามอยู่นั้น พี่เจพี่ที่รู้จักอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ก็สนใจจึงขอเข้าร่วมด้วย แน่นอนว่าพี่เจมีคุณสมบัตินั้นอยู่ในตัว เพราะเขาทำงานเกี่ยวกับโรงแรมแล้ว มักจะรู้โปรโมชั่นดี ๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวก่อนใครอยู่เสมอ
เรา 3 คนรวมตัวกันสร้าง เพจ ขึ้นมาชื่อว่าเพจ คนละเที่ยว ในเมื่อมีคน 3 คนที่รักในการท่องเที่ยวมารวมตัวกัน สร้างเพจขึ้นมา เพจนี้จะต้องไปได้ดีอย่างแน่นอน แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ สร้างเพจ ปุ๊บ Covid มาปั๊บ จริง ๆ แล้วนอกจาก covid ก็ยังมีเรื่องของฝุ่น PM 2.5 ไฟป่าภาคเหนือ และจีนที่สร้างเขื่อนจนทำให้ประเทศไทยแห้งแล้ง ดูเหมือนว่าช่วงที่เราสร้างเพจขึ้นมา จะเป็นช่วยที่ประเทศไทยเจอวิกฤตหลายด้านเลยทีเดียว
มันจะค่อนข้างกระอักกระอ่วน หน่อย ๆ เพราะไฟของเราทั้งสามคนกำลังแรงมาก แต่กลับไปเที่ยวเพื่อถ่ายรูป เขียนบทความไม่ได้ เราจึงทำได้เพียงแค่แชร์บทความของคนอื่นมาไว้ในเพจของเรา แต่ช่วงเวลานั้นมันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะผ่านไปเพียงไม่นาน Covid ก็ได้มาจัดการทุกอย่างให้กับเรา โดยการทำให้เศรษฐกิจแย่ลง จนเราทั้งสามคนต้องแยกย้ายกันไปเพื่อช่วยเหลือตัวเอง
ระหว่างนั้น พี่เจและน้องทราย ก็ได้แนะนำผมให้รู้จักกับเว็บไซต์ที่ชื่อว่า True ID Intrend ที่นี่เขารับซื้อบทความในราคา 100 บาท ผมซึ่งเป็นนักเขียนมือใหม่ย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือยังไม่นอน ผมจึงเข้าไปทดลองเขียนบทความกับทางทรูอยู่พักใหญ่ บอกตามตรงว่าได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาก แถมได้เงินเป็นกอบเป็นกำอีกด้วย ตอนนี้ดูเหมือนการเขียนบทความ ที่ผมแค่อยากทดลองเขียน มันข้ามขั้นจากงานอดิเรกกลายเป็นอาชีพเสริมไปเสียแล้ว เพราะมันสามารถสร้างเงินให้ผมได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
แล้ววันหนึ่งผมก็เกิดอยากอ่านบทความที่ผมเคยขายให้กับทรู แต่พอเข้าไปดูกลับพบว่าบทความของผมมียอดวิวเท่ากับศูนย์ ใช่แล้วครับ บทความที่ผมขายให้กับทาง True ID Intrend ไม่เคยมีใครเข้ามาอ่านเลยแม้แต่คนเดียว เกิดเป็นความสงสัยว่า เขาจะรับซื้อบทความของผมแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ทำไม ในเมื่อบทความเหล่านั้นมันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย แล้วผมก็รู้ด้วยตัวเองทันทีว่า ถ้าระบบยังเป็นแบบนี้ต่อไป วันหนึ่งเขาจะต้องมีปัญหาแน่ ๆ และเขาคง ไม่จ่ายเงินง่าย ๆ แบบนี้ไปตลอด (หลังจากผ่านไป 2 เดือนมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ )
หลังจากนั้นผมก็ได้รู้จักกับ Application ตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน ชื่อว่า Blockdit มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับผม ข้อ 1 เลยคือมันเป็น Application ของคนไทย แต่ที่สุดยอดไปกว่านั้นคือ เขาโฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถสร้างรายได้จากการเขียนบทความได้อีกด้วย แน่นอนว่าเมื่อผมเห็นแบบนั้นตาก็ลุกวาวทันที ผมจึงเข้าไปทดลองเล่นในทันที
ผมเริ่มต้นจากการเขียนบทความท่องเที่ยว และก็เปลี่ยนมาเขียนบทความทั่วไปกับ True ID Intrend จนเมื่อได้มาเล่น Blockdit จึงอยากสร้างความแปลกใหม่โดยการเขียนบทความแนวปรัชญาดูบ้าง แล้วดูเหมือนตัวผมจะชอบบทความแนวนี้ด้วย ผมใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวทำให้มีผู้ติดตามครบ 1000 คนและสามารถเปิดสร้างรายได้ ได้สำเร็จ
หลังจากนั้นทำให้ผมรู้ว่าทาง Blockdit เขาจ่ายเงินให้จริง ๆ ด้วย แต่มูลค่าของบทความที่เขายอมจ่ายมันถูกเหลือเกิน ต่อให้เทียบกับบทความที่ขายให้กับทรูด้วยก็ตาม แถมกว่าจะได้เงินสักบทความก็ยากน่าดูเลยทีเดียว ระหว่างที่เขียนบทความกับ Blockdit ทำให้ผมได้เรียนรู้ ความจริงจากการเขียนบทความ 3 สิ่งด้วยกัน
ข้อที่ 1 ก็คือ การเขียนบทความอย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องรู้จักโปรโมทบทความของเราด้วย เพราะบทความที่ดีกับบทความที่ดังมันสะกดต่างกัน ถึงเราจะเขียนบทความดีมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีใครอ่านมันก็เท่านั้น
ข้อที่ 2 ก็คือ ไม่มีใครอยากอ่านบทความที่ยาวจนเกินไป จากนักเขียนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน
น้อยคนมากที่จะเปิดใจ อ่านบทความจากนักเขียนโนเนม และดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดถูกซะด้วย เพราะนักเขียนมือใหม่ส่วนใหญ่ ก็ยังคงเขียนบทความที่ดีขนาดนั้นไม่ได้นั่นเอง ดังนั้นถ้าเราเป็นคนไม่มีชื่อเสียงมากพอ การเขียนบทความจึงไม่ควรเขียนให้มันยาวมากเกินไปนัก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อ่านมันหรอก
ข้อที่ 3 ก็คือ กับดักของการบูส การเขียนบทความใน Blockdit นั้นมีกฎที่ว่าห้ามโฆษณาหรือขายของใด ๆ ทั้งสิ้น รายได้ทางเดียวของเจ้าของ Applicationได้จากการที่เจ้าของเพจกดบูสบทความ และรายได้ทางเดียวของนักเขียนบทความ คือเงินที่ได้จากทีมงาน Blockdit แน่นอนว่าเมื่อระบบเป็นเช่นนี้การโดนบีบให้บูสจึงเกิดขึ้น ยอมรับตามตรงว่าผมก็บ้าจี้ไปกับระบบของเขา ถึงแม้ผมจะเข้ามาเพื่อหวังรายได้จากการเขียนบทความ แต่รู้ตัวอีกทีก็เสียเงินจากการเขียนบทความไปแล้วเกือบพันกว่าบาท
หลังจากผมออกจากวังวน ของการแย่งชิงความนิยมมาได้ ผมก็ยังคงเขียนบทความต่อไป และทดลองเล่นเว็บไซต์ในการเขียนบทความมากมาย ทำให้รู้ความจริงที่ว่า ทุกเว็บเขาได้โฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถสร้างรายได้จากการเขียนบทความได้ทั้งนั้นเลย แต่คนที่ได้จริง ๆ นั้นมีน้อยมาก เล่ามาถึงตรงนี้จากต้นปีเวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงเดือนสิงหาคมแล้วครับ
การเดินบนเส้นทางของนักเขียนบทความของผม กินเวลาถึง 8 เดือน ผมเริ่มจากจุดสตาร์ทที่ดี เพราะมีคนเข้ามาอ่านบทความเยอะ แล้วไปได้สวยขึ้นกว่าเดิม จากการสร้างรายได้จากการเขียนบทความได้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็กลับต้องมาสะดุด เพราะได้รู้ความจริงที่ว่า ที่ผ่านมามันก็แค่ดวงดีเท่านั้น โลกของการเขียนบทความไม่ได้สุขสบายขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะอยากอ่านบทความของเรา หรือเราจะสร้างรายได้จากการเขียนบทความได้ง่าย ๆ
การเริ่มต้นครั้งใหม่จึงถือกำเนิดขึ้น ผมตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า จะเอาอย่างไรกับการเขียนบทความดี แล้วดูเหมือนผมยังไม่พบคำตอบในตอนนั้น เพราะประสบการณ์ที่เดิมบนเส้นทางนี้มันยังสั้นนัก ก็เลยตัดสินใจเลือดเว็บไซต์ในการเขียนบทความแบบ Random รอบนี้ผมจะไม่สนใจเรื่องเงินทอง หรือความนิยมอีกต่อไป แค่อยากลองเขียนบทความเฉย ๆ และหวยก็ๆไปตกอยู่กับ Blogger.com
ผมจึงเริ่มต้นเขียนบทความกับ blogger.com ตั้งแต่บัดนั้น แล้วเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านมาอีก 4 เดือน จนในที่สุดก็มาถึงวันนี้ วันที่ผมเขียนบทความครบ 1 ปีเต็ม
ถึงตอนนี้คำถามที่ผมเคยคิดจะถามตัวเองในเดือนสิงหาคม คงไม่จำเป็นต่อไปแล้ว ถ้าผมไม่ชอบการเขียนบทความ ผมคงไม่เขียนมาเรื่อย ๆ ยาวนานถึง 1 ปีเต็ม แถม 4 เดือนให้หลัง เป็นการเขียนโดยที่ไม่ได้สิ่งตอบแทนใด ๆ อีกด้วย แต่ผมก็ยังเต็มใจที่จะเขียนมัน ความคิดแว๊บนึงผุดขึ้นมาว่าการเขียนบทความเนี่ยเป็นสิ่งที่ไม่มีต้นทุนเลยนะ หากสมองเรายังดีอยู่ เราก็ยังคงเขียนอะไรต่อมิอะไรลงไปได้เรื่อย ๆ และมันคือกิจกรรมที่เราสามารถทำได้จนแก่อีกด้วย
เมื่อบทสรุปมันออกมาเป็นแบบนี้ ผมก็เลยคิดว่าต่อจากนี้ ผมก็ยังคงต้องเขียนบทความต่อไป เหมือนกับใครอีกหลายคน ที่เขานำหน้าผมไปไกลแล้ว บางคนเขียนบทความมาก่อนผมเป็น 10 ปี ก็ยังมี บางคนเขียนมา 5-6 ปีเขียนเฉยๆไม่เคยได้เงินสักบาทก็มี ที่พวกเขาทำแบบนั้นได้เหมือนว่าตอนนี้ผมจะเข้าใจแล้วแหละ ก็เพราะว่ามันสนุกยังไงล่ะ
และปีหน้าผมจะตั้งใจทำพอดแคสต์ให้มากขึ้น จะเขียนบทความให้มากขึ้น เพราะท้ายที่สุด บทความที่ไม่มีคนอ่าน มันก็น่าเสียดายอยู่ดี
นี่ล่ะครับเรื่องราวของปีแรกในการเริ่มต้นสู่ งานอดิเรกที่เรียกว่า การเขียนบทความ และหวังอย่างยิ่งว่าเมื่อครบ 2 ปีบทความยาว ๆ แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น