บทความ พลังของคำโกหก
คุณผู้ฟังครับ ถ้าผมจะบอกว่า บทสรุปฉบับแฮม แฮมพอดแคสต์ คือพอดแคสต์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงนี้ คุณผู้ฟังจะเชื่อผมไหมครับ
ซึ่งก็แน่นอนละครับว่า มันไม่จริงครับ
มันเป็นเรื่องโกหก พอดแคสต์ผมคนฟังน้อยจะตายไป แล้วมันจะได้รับความนิยมที่สุดไปได้ยังไงล่ะครับ
แต่เหตุผลที่ผมหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูดเนี่ย
เพราะผมอยากจะบอกว่า
ในบางครั้งนะครับ เราสามารถที่จะ
เปลี่ยนเรื่องโกหก ให้กลายเป็นเรื่องจริง ได้ด้วยนะครับ
ผมได้ดูคลิปวีดีโอคลิปนึงครับ เป็นคลิปการแกล้งเล่นของฝรั่ง ก็คือ ให้ผู้ชายคนหนึ่ง เดินไปด้านหน้าของเป้าหมาย แล้วตอนที่กำลังจะเดินผ่านไปนะครับ ก็ให้แกล้งทำเป็นยกขาขึ้นสูง ๆ เหมือนกับว่า กำลังข้ามอะไรอยู่ แต่แท้จริงแล้วไม่มีอะไรนะครับ เป็นทางโล่ง ๆ เลย
คนที่เห็นนะครับ ก็จะทำหน้างง ๆ ครับว่า
นี่เค้ากำลังข้ามอะไรอยู่เนี่ย เพราะว่าถ้ามองด้วยตาแล้ว มันก็ไม่มีอะไรตั้งอยู่เลยนะ
สักพักหนึ่งเนี่ย ก็มีคู่ชายหญิงครับ
เดินผ่านมา ซึ่งก็เป็นหน้าม้าเหมือนกัน ทั้งสองคนเนี่ย
เมื่อเดินไปถึงตรงด้านหน้าของเป้าหมาย ก็กระโดดข้ามทั้งสองคนเลยเช่นกัน คนที่นั่งดูก็คิ้วขมวดกันเป็นแถวเลย เพราะสงสัยว่า สองคนนี้มันข้ามอะไรกัน
มันไม่เห็นมีอะไรเลยนะ สุดท้ายก็มีผู้ชายอีกคนนึงครับ
กำลังคุยโทรศัพท์แล้วก็เดินไปด้านหน้าของเป้าหมายอีกครั้งซึ่งแน่นอนครับ
ก็เป็นหน้าม้าเหมือนกัน เขาทำทีเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์แล้วไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
แล้วเมื่อเดินไปถึงด้านหน้าของเป้าหมาย ก็แกล้งทำเป็นสะดุดก่อนที่จะเดินจากไปครับ
เท่านั้นล่ะครับ คนที่นั่งดูอยู่เนี่ย ต้องลุกขึ้นมาดูเลยครับว่า พวกเขาสะดุดอะไรกัน ข้ามอะไรกันนักหนา เพราะว่ามองด้วยตาแล้วมันไม่มีอะไรเลย
จากการแกล้งนี้นะครับ
เราจะเห็นเลยนะครับว่า ปฏิกิริยาของคนเนี่ย ครั้งแรกหัวเราะครับสงสัยว่า
เอ่ะเขาทำท่าแปลก ๆ ทำไม ครั้งที่ 2 เนี่ยเริ่มคิ้วขมวดแล้วครับว่าเอ๊ะ
หรือว่าจะมีอะไรกันอยู่จริง ๆ พอครั้งที่ 3 มีคนสะดุดปุ๊บเนี่ย
เชื่อกันหมดเลยครับ รีบวิ่งกันมาดูเลยครับว่าเขาข้ามอะไรกัน
เรื่องนี้ถ้าจะให้ผมพูดนะ
ผมจะเรียกมันว่าพลังในการสร้างเรื่องโกหกครับ แต่ว่าในเชิงการตลาดแล้ว เขาไม่เรียกแบบนั้นน่ะสิครับ
มันมีนิทานการตลาดเรื่องนึงครับ
ชื่อเรื่องว่าสุนัขคาบเนื้อ ซึ่งก็เป็นเรื่องสั้น ๆ นะครับ ประมาณว่า
มีสุนัขตัวหนึ่งกำลังคาบเนื้อเดินผ่านมาครับ
แล้วก็มีสุนัขอีกตัวหนึ่ง ตะโกนทักไปว่า นายเป็นอะไรหรือเปล่า คาบก้อนหินมาทำไม
สุนัขที่คาบเนื้อ ก็งงสิครับ ก็คิดในใจว่า ฉันคาบเนื้อมา
ทำไมเขาทักว่าคาบหินมากันนะ
พอเดินไปอีกสักหน่อย ก็เจอสุนัขอีกตัวหนึ่ง และมันก็บอกว่า นี่นายเป็นอะไรมากไหมเนี่ย คาบก่อนหินมาทำไม
สุนัขที่คาบเนื้อก็เริ่มงงแล้วครับว่าทำไม
2 คนทักเหมือนกันเลยเนี่ย
แต่ว่าดูยังไงฉันก็คาบเนื้อมานะ
ไม่ใช่ก้อนหินซะหน่อย
พอเดินต่อไปอีกสักพักหนึ่ง ก็เจอสุนัขตัวที่
3 ครับ มันก็เลยบอกว่า นายต้องไปหาหมอแล้วนะเนี่ย
นายเดินคาบก้อนหินมาเพื่ออะไร
สุนัขที่คาบเนื้ออยู่เนี่ย
ตัดสินใจคายเนื้อทิ้งในทันทีครับ
เพราะว่าเชื่อสิ่งที่ คนอื่นบอกมากกว่าสิ่งที่ตัวเองเห็น
หลายคนอย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่นิทานสั้น ๆ ไม่มีอะไรนะครับ
นี่คือสุดยอดวิชาการตลาดเลยก็ว่าได้
แล้วนักการตลาดเนี่ย ก็ได้นำวิธีนี้มาใช้กับพวกเราบ่อยมาก ๆ เลย
ยกตัวอย่างเช่น
คุณผู้อ่านเคยเห็นร้านเปิดใหม่ที่โนเนมไม่มีชื่อเสียงใด ๆ แต่เปิดวันแรกเนี่ย ก็มีคนต่อคิวยาวเป็นหากว่างไหมครับ พวกเขาต่อคิวอะไรกัน
แปลว่าร้านนี้ต้องอร่อยมากแน่ ๆ เลย งั้นฉันต่อคิวซื้อบ้างดีกว่า
ร้านที่ไม่เคยมีใครรู้จัก มาเปิดวันแรก จะมีคนต่อคิวยาวได้ยังไงล่ะครับ
ถ้าอย่างนั้น พอดแคสต์ Episode แรกของผมเนี่ย ทำไมมียอดวิว = 0 ละครับ
นี่ยังเบาะ ๆ นะครับ ร้านขายเสื้อผ้าใหญ่ ๆ บางร้านเนี่ย เขาก็จ้างคนหน้าตาดีครับ
เข้าไปเดินเลือกเสื้อผ้าในร้าน พอคนเห็นว่า เอ่ะ ร้านนี้มีแต่คนหน้าตาดี ๆ มาซื้อ
งั้นฉันเข้าไปดูบ้างดีกว่า
แถมบางครั้งเนี่ย เขายังจ้างคน
ให้เดินไปทักคนที่ใส่เสื้อร้านเขาที่มาเดินห้างด้วยนะครับ เรื่องนี้อาจจะไกลตัวเรานิดนึงนะครับ
เพราะว่าถ้ามีคนแปลกหน้ามาชวนเราพูดคุยเนี่ย เราก็คงจะตกใจ
แต่ต่างประเทศเนี่ย คือการที่คนแปลกหน้าจะเดินมา แล้วก็ทักเราว่า
เสื้อสวยจังเลยนะครับ ซื้อที่ไหนเหรอครับ มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ครับ
ซึ่งประสบการณ์ส่วนตัวเนี่ย ผมก็เคยใช้วิธีนี้เหมือนกันนะครับ
แต่ผมไม่ได้รู้การตลาดอะไรหรอกนะครับ ใช้ตามสัญชาตญาณซะมากกว่า
คือมันมีครั้งหนึ่งครับ
ตอนผมเรียนมหาลัยเนี่ย ระหว่างที่ผมกำลังนั่งเครียดกับเพื่อนสนิทอยู่ เพราะว่าพวกเราเนี่ย ได้คะแนนสอบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วระหว่างกำลังนั่งเซ็งกันอยู่ ก็มีผู้หญิงที่เราชอบครับ เขากำลังจะเดินมาทางพวกเราพอดีเลย
ด้วยสัญชาตญาณ หรืออะไรก็ไม่รู้ล่ะครับ
มันทำให้เพื่อนผมเนี่ย อยู่ดี ๆ ก็มาตบไหล่ผมครับ แล้วก็บอกว่า จะเครียดไปทำไมได้เกรด
B ตัวเดียวเอง จะเอา a ทุกตัวเลยหรือไง แล้วผมก็พูดตอบกลับไป โดยอัตโนมัติเลยครับว่า ก็อยากได้เกียรตินิยมอันดับ 1 นี่หว่า เซ็งเลย
ซึ่งการวางฟอร์มว่าเราสองคนเรียนเก่งเนี่ย
ดูเผิน ๆ แล้วมันแทบจะไม่มีผลอะไรเลยครับ เพราะว่าน้องเขาก็เดินผ่านไปเหมือนกับว่า
ไม่ได้ฟังเราพูดด้วยซ้ำ
แต่หลังจากนั้นไม่นานเนี่ย ก็ได้มีเพื่อนผู้หญิงที่เรียนคณะเดียวกับผม วิ่งมาถามพวกผมครับว่า พวกแกเรียนเก่งกันขนาดนั้นเลยเหรอ ผมถึงได้ทราบภายหลังว่า
น้องเขาตอนที่เดินผ่านเราไปเนี่ย หูผึ่งมากเลยครับ
ถึงหน้าจะนิ่งเหมือนไม่สนใจแต่หูเขาเนี่ย รับฟังทุกอย่างครับ แล้วก็เชื่อไปเต็ม ๆ ครับว่า พวกเราเนี่ย เรียนเก่ง
ก็ทั้งหมดที่กล่าวมานะครับ
อาจจะเรียกว่าเป็นการโกหกเพื่อทำให้ตัวเองดูดีก็ได้ครับ
แต่นักการตลาดเนี่ย เขาก็ได้หยิบยกวิธีนี้มาสร้างผลกำไรด้วยเช่นกัน
แต่สุดท้ายนะครับ
น้องผู้หญิงที่ผมกับเพื่อนชอบเนี่ย ภายหลังเขาก็รู้ความจริงจนได้ครับ
ว่าพวกเราเนี่ย ไม่ได้เก่งแบบนั้น หลังจากมีบทสัมภาษณ์แล้วก็
นิตยสารหลายเล่มเอาเรื่องนี้มาตีพิมพ์นะครับ ลูกค้าก็ได้รู้เหมือนกันครับว่า
ที่มีคนมาทักเราว่าดูดีก็เป็นการตลาดอย่างนึงเหมือนกัน
สุดท้ายแล้วความจริงก็เป็นสิ่งไม่ตายหรอกครับ
ดังนั้น ถ้าคุณผู้อ่านอยากที่จะใช้เทคนิคนี้ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองดูดีขึ้น
ก็ต้องคิดให้รอบคอบสักนิดนึงนะครับ เพราะสำหรับชาวพุทธอย่างเราแล้วเนี่ย
การโกหกมันผิดศีล 5 นะครับ
สามารถฟังบทความดีๆ ในรูปแบบของพอดแคสต์ได้นะครับ
จาก บทสรุปฉบับแฮมแฮม พอดแคสต์
ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ^^
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น