บทความ พ่อสอนลูกฉบับที่ 1



มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งครับที่ผมเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว 

แล้วผมก็คิดนะครับว่า ถ้าวันหนึ่ง  ผมมีโอกาสได้ทำพอร์ตแคส ผมอยากจะนำหนังสือเล่มนี้มาทำสรุปมาก ๆ เลย

 

หนังสือเล่มนั้นมี ชื่อว่า พ่อสอนลูกครับ ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูกนะครับ ชื่อพ่อสอนลูกครับ เป็นหนังสือเก่าแก่ที่คนไทยเขียนขึ้นมา 

หนังสือเล่มนี้มีความพิเศษ 2 อย่างครับ อย่างแรก  หนังสือเล่มนี้ถูกจัดทำขึ้นมา เพื่อเป็นอนุสรณ์ ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ ของนาย ป่าน ทัพวง ครับ นั่นก็คือเป็นหนังสือแจกฟรีที่ไม่มีลิขสิทธิ์ครับ เป็นหนังสือที่ผู้จัดทำ สร้างขึ้นมา เพื่ออยากจะส่งต่อความรู้ ของคนสมัยก่อน ถึงคนรุ่นลูกรุ่นหลาน นั่นเองครับ 

 

ส่วนอย่างที่ 2   หลายคนอาจจะไม่รู้ใช่ไหมครับว่านาย ป่าน ทัพวง เป็นใคร มาจากไหน ฟังชื่อแล้วอาจจะยังไม่คุ้นใช่ไหมครับ จริง ๆ แล้ว ผู้เขียนหนังสือก็คือคุณ ทวี บุณยเกตุครับ  เขาเป็นถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของประเทศไทยเลยทีเดียว

 

เชื่อว่าหลายคนตอนนี้อาจจะคิดเหมือนผมอยู่ก็ได้นะครับว่า หนังสือของคนเฒ่าคนแก่ขนาดนั้น  มันยังจะใช้ได้กับยุคสมัยนี้หรอ ความรู้ตั้งแต่สมัยไหนแล้วนั่น

คือจากประสบการณ์ที่ผมอ่านมาแล้วนะครับ มันจะมีอยู่บ้างครับที่ความคิดของเขา อาจจะค่อนข้างโบราณไปหน่อย แต่ว่าโดยภาพรวมของหนังสือแล้วนะครับ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดี ควรค่าแก่การอ่านมาก ๆ จริง ๆ ครับ ซึ่งผมมองว่าแนวคิดของคนเก่ง  ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คนเก่งก็ยังเป็นคนเก่งอยู่วันยังค่ำ ครับ

ก็เปรียบเสมือนสามก๊กนั้นละครับ ที่จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังคงอ่านกันอยู่ เลย ยังคงใช้กลยุทธ์ในสามก๊กอยู่เลย ถึงแม้ว่าสมัยนี้เราจะไม่มีการเดินทัพ หรือวางกลยุทธ์ให้เสียเวลา ก็แค่กดปุ่มเดียว  นิวเคลียร์ก็สามารถทำลายล้างได้ทั้งโลกแล้ว แต่เราก็ยังสามารถนำความรู้ในสามก๊ก  มาประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่น ๆ แทนได้ ใช่ไหมครับ 

หนังสือเล่มนี้ก็เช่นเดียวกันครับ เป็นหนังสือที่ไม่ธรรมดาเลย อย่าลืมนะครับว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 5 เป็นคนเขียนขึ้นมาเลยทีเดียว ถึงแม้ผมจะไม่ทราบประวัติของผู้เขียนแน่ชัดนะครับ ว่าเขาได้ทำอะไรไว้บ้าง แต่ว่าเท่าที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ดู ก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่เก่งคนหนึ่งเลยทีเดียวครับ

แต่การสรุปหนังสือเล่มนี้ ผมจะไม่ทำรวดเดียวเหมือนกับหนังสือแก่ช้าลงแน่แค่ปล่อยให้ท้องหิวนะครับ แต่ผมจะเลือกนำมาพูดเป็นตอน ๆ ไปนะครับ จะได้ดู feedback ด้วยครับ ถ้า คุณผู้อ่านชอบ ก็จะได้ทำต่อแต่ถ้าไม่ชอบก็จะได้เปลี่ยนเรื่องพูดครับ 

 

โอเคเรามาเริ่มกันเลยนะครับ

 Concept ของหนังสือเล่มนี้นะครับก็ประมาณว่าพ่อ ต้องไปอยู่ต่างถิ่นต่างแดนนะครับ ไปอยู่ปีนังหลายปีเลย แต่ก็คิดถึงลูกนะครับ ก็เลยเขียนจดหมายส่งมาหาลูกที่เมืองไทย ในจดหมาย ก็จะเป็นคำสอนต่าง ๆ ที่พ่อ  อยากจะส่งมอบให้กับลูกนะครับ ก็คือสมัยก่อน มันจะไม่มีโทรศัพท์นะครับ ถ้าเกิดอยากจะสอนอะไรลูก อยากจะคุยอะไร ก็ต้องส่งจดหมายเอานะครับ 

 

ซึ่งทุก ๆ บทในหนังสือ ก็เปรียบเสมือนจดหมายหนึ่งฉบับที่พ่อได้ส่งให้กับลูกชายนะครับ โดยจะมีการเปิดจดหมายด้วยคำว่าบู๊ ลูกรักเสมอนะครับ

 

 

บทที่1นะครับ  ในบทนี้ผู้เขียนได้พูดถึงความสำคัญของการมีเพื่อนแล้วก็วิธีการเลือกคบเพื่อน ครับ

คือเขาบอกว่าเรื่องของการคบเพื่อน เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับสำหรับลูกผู้ชาย

คนเราเกิดมา ไม่มีใครอยู่ตัวคนเดียวได้หรอกครับ ทุกคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน

การทำความรู้จักคนให้มาก ๆ   มีเพื่อนให้เยอะ ๆ  เราก็จะกลายเป็นคนกว้างขวางครับ 

เพราะว่าความสำเร็จทุกอย่างถ้าเราลองคิดดูดี ๆ แล้ว  ก็จะพบว่า

ไม่ว่าจะเป็นทางราชการ หรือทางการค้า หรือกิจการส่วนตัว ล้วนขึ้นอยู่กับความกว้างขวางของตัวเราเป็นสำคัญ ครับ

ดังนั้นการมีเพื่อนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด  เราควรทำความรู้จักคนให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ โดยไม่ต้องไปเลือกนะครับว่าเขาเป็นใคร

 

 

คือคำว่าเพื่อนสำหรับตัวผู้เขียนนะครับจะมีความหมายที่ค่อนข้างกว้างมากครับ ไม่ว่าจะเรียนมาด้วยกัน ทำงานมาด้วยกัน หรือแค่พบปะพูดคุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง ก็เรียกเขาว่าเพื่อนแล้วนะครับ 

 แต่เนื่องจากการคบเพื่อน มันมีทั้งคุณและโทษนะครับ

 ผู้เขียนจึงจำแนกเพื่อนออกเป็น 3 ประเภท เพื่อที่เรา  จะได้เข้าใจง่ายขึ้นนะครับ 

เพื่อนประเภทที่ 1 ก็คือ คนที่รู้จักกัน  นะครับ

จริง ๆ แล้วคนที่เพียงแค่รู้จักกันไม่ควรเรียกว่าเพื่อนนะครับ แต่ถึงเราจะเรียกเขาว่าเพื่อนมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร

  ยกตัวอย่างเช่น สมมุติเราเจอคนคนหนึ่งบนรถประจำทาง ตอนที่เรากำลังเดินทางไปทำงาน หรือว่าไปโรงเรียน เจอหน้ากันทุกวัน เจอกันบ่อยจนรู้สึกสนิดกัน 

การที่เรารู้จักใครแบบผิวเผินพูดคุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง เรายังไม่รู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงของเขาใช่ไหมครับ เพื่อนแบบนี้นะครับพยายามคบอย่างห่าง ๆ ครับ ไม่ต้องใกล้ชิดกันมากก็ได้ ให้เขาอยู่ในฐานะคนรู้จัก

 เมื่อเราพบเจอเพื่อนประเภทนี้นะครับ  เราควรทักทายปราศรัยกันพอสมควร คุยกันตามมารยาท ตามลักษณะและชนิดของบุคคลนะครับ พูดง่าย ๆ ก็คือให้มีมนุษย์สัมพันธ์เข้าไว้นั่นแหละครับ 

 

 หากรู้ภายหลังครับว่าเขาเป็นคนไม่ดี สร้างแต่ความเดือนร้อน เราก็จะได้ตีตัวออกห่าง ได้อย่างไม่ยากนะครับ แต่ถ้าเขาเป็นคนดี น่าคบหา เราก็ค่อยเลื่อนระดับเขาให้เป็นเพื่อนประเภทที่ 2 ครับ 

 

และที่สำคัญนะครับผู้เขียนยำว่าเพื่อนประเภทที่ 1  เราควรจะมีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ โดยไม่ต้องเลือกนะครับ ว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หรือมีชนชั้นวรรณะใด จะเป็นคนจนหรือคนรวย หรือจะเป็นคนต่างชาติ แม้จะเป็นคนเลวเกะกะระราน หรือเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย ก็คบไว้ได้หมดนะครับ เพราะถ้าเราทำตัวให้เขาเคารพนับถือ  เราก็จะไม่มีศัตรูครับ เผลอ ๆ บางครั้งนะครับ คนเหล่านี้ยังเป็นหูเป็นตาให้กับเราได้อีกด้วย 

 

แต่ขอย้ำนะครับ คบกันแบบผิวเผินทักทายปราศรัยกันพอสมควรเท่านั้นนะครับ เราต้องรู้ตัวเองนะครับว่า เราควรจะพูดคุยกับใคร ประมาณไหน และอย่างไรนะครับ ก็แยกแยะตามชนิดของบุคคลนั่นแหละครับ 

 

ส่วนเพื่อนประเภทที่ 2นะครับก็คือ เพื่อนเล่น 

 

เพื่อนประเภทที่ 2 อาจจะมีมากหน่อยนะครับ อาจจะเลื่อนขั้นขึ้นมาจากเพื่อนประเภทที่ 1 หรืออาจจะเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน เล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก 

 

เพื่อนประเภทนี้คือเพื่อนที่เรา  จะรู้จักนิสัยใจคอกันพอสมควรนะครับ 

 

ถ้าเราเห็นว่าเขาเป็นคนที่ดีพอสมควร คบไปก็ไม่เสียหายอะไร และไม่เป็นที่รังเกียจของสังคม แม้เขาจะมีอะไรบกพร่องอยู่บ้าง เราก็ควรคบเขาไว้เป็นเพื่อนเล่นครับ เที่ยวด้วยกันกินด้วยกันเป็นครั้งคราว 

 

โดยเพื่อนประเภทนี้นะครับ ถึงเราจะเรียนมาด้วยกัน ถึงแม้เราจะเล่นด้วยกัน อยู่ด้วยกันจนรู้นิสัยใจคอกันดีแล้ว แต่หากเราเห็นว่าเขาเป็นคนเลว และไม่ค่อยมีคนดี ๆ คบหา เราก็ควรตีตัวออกห่าง ให้เขากลายเป็นเพื่อนประเภทที่ 1 ก็พอนะครับ 

 

สรุปก็คือ เพื่อนประเภทที่สองที่เราไปกินไปเที่ยวกับเขา  เราต้องจำแนกจากความสนิทสนมและความดีเลวของตัวเขานะครับ 

 

ต่อไปคือเพื่อนประเภทที่ 3 ครับ เพื่อนแท้หรือมิตรแท้ 

 

ผู้เขียนบอกว่า เพื่อนประเภทนี้หาได้ยากมากนะครับ บางทีในชีวิตของเราบางคน  อาจจะไม่เคยมีเพื่อนแบบนี้เลยก็ได้ หรือถ้ามีก็น่าจะมีแค่คนสองคนเท่านั้น

  และเพื่อนประเภทนี้ก็ต้องมาจากเพื่อนประเภทที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ด้วยครับ เพราะการที่เราจะมีใครเป็นเพื่อนแท้ได้นั้น เราต้องทำความรู้จักเขาเป็นอย่างดี และใช้เวลาร่วมกันเป็นแรมปีเลยนะครับ 

 

ยิ่งเคยตกทุกข์ได้ยาก ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาด้วยกัน ยิ่งดีครับ เราจะได้เห็นนิสัยใจคอที่แท้จริงของเขาในยามที่เราทุกข์ยากนะครับ 

 

ในหนังสือนะครับผู้เขียนได้ยกตัวอย่างของเพื่อนที่ดีมาให้เราอ่านกันถึง 30 ข้อเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะใส่ไว้ในดิสคริปชั่นนะครับ ถ้าใครอยากรู้ก็สามารถเข้าไปอ่านได้นะครับ มันเยอะมากเลย ขอไม่พูดดีกว่าครับ

 

แล้วผู้เขียน  ก็ได้เตือนถึง เพื่อนแบบพิเศษไว้ด้วยครับ จะเห็นนะครับว่าเพื่อนบางคน เราเจอกันแค่ไม่นานนะครับ แต่กลับรู้สึกว่า พูดคุยกันถูกคอและสนิทสนมกันเร็วมาก ๆ เลย ๆ  ทางผู้เขียนได้บอกไว้นะครับว่า จงพึงระวังเพื่อนประเภทนี้ไว้ให้ดีครับ เพราะว่าเรายังไม่รู้นิสัยใจคอที่แท้จริงของเค้า ถึงเราจะคิดว่าเรารู้จักดีแล้วก็ตาม แต่ว่าเรายังไม่รู้จักดีหรอก จงใช้เวลา ศึกษากันให้มาก ๆ ครับ 

และเรื่องสุดท้ายในบทนี้นะครับเรื่องนี้สำคัญมาก ผู้เขียนได้พูดถึงหลักสำคัญที่สุด ในการเลือกคบเพื่อนครับ เราต้องดูด้วยนะครับว่าเพื่อนที่เราคบนั้นในสายตาของคนอื่น เขาเป็นคนอย่างไรนะครับ และเขามั่วสุมสมาคมกับคนประเภทใด 

 

หากในสายตาของคนอื่นเขาเป็นคนไม่ดีแล้วเขามักจะมั่วสุมและคบหาแต่กับคนไม่ดี เราต้องสันนิษฐานไว้ก่อนเลยนะครับว่า เขาก็เป็นคนแบบนั้นแหละ เพราะว่า หงส์จะอยู่ในฝูงกาไม่ได้ฉันใด คนดีก็จะมั่วสุมกับคนชั่วไม่ได้ฉันนั้น 

 

จบบทที่ 1 ครับ เนื้อหาค่อนข้างเข้มข้นกว่าที่คิดนะครับ

จริง ๆ บทนี้ก็สรุปสั้น ๆ นะครับว่า เพื่อนมีความสำคัญมาก ๆ กับชีวิต เพราะคนที่มีเพื่อนเยอะมีคนคอยช่วยสนับสนุนก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า ดังนั้นจงเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี แล้วถ้าเจอคนที่นิสัยดีและเป็นคนดีก็ให้คบหาเป็นเพื่อน ครับ

 ยังไงถ้าFeedback ออกมาดี  เดี๋ยวผมจะทำบทที่ 2 ต่อนะครับ 




สามารถฟังบทความดีๆ ในรูปแบบของพอดแคสต์ได้นะครับ

จาก บทสรุปฉบับแฮมแฮม  พอดแคสต์

ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ^^


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีลืมความรักครั้งเก่า

ทำไมคุณถึงไม่ควรแคร์คำพูดของป้าข้างบ้าน

บทความ คนสวยก็มีความทุกข์ในแบบของคนสวยเหมือนกัน

บทความ เกมให้คะแนนสาวสวย

บทความ สระว่ายน้ำของคนโง่