บทความ จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
คุณผู้อ่านครับ สมมุติว่ามีกบอยู่ 5 ตัวนะครับ นั่งอยู่บนขอนไม้ กบ 1 ตัวตัดสินใจที่จะกระโดดลงมา คุณผู้อ่านคิดว่าจะเหลือกบอยู่บนขอนไม้กี่ตัวครับ เฉลยนะครับ คำตอบก็คือ เหลือ 5 ตัวเท่าเดิมครับ
เพราะการตัดสินใจที่จะทำ กับการลงมือทำจริง ๆ นั้น มันไม่เหมือนกันครับ
อย่างเช่นผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะเริ่มอ่านหนังสือ
แต่ถ้าผมยังไม่อ่านหนังสือ นั่นก็ถือว่ายังไม่ลงมือทำครับ
วันนี้ผมอยากจะมาชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องของจุดเริ่มต้นครับ
เพราะความสำเร็จของทุกคนมีจุดเริ่มต้นเสมอ
ข้อสังเกตที่ผมพบเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นนะครับ
มีทั้งหมด 3 ข้อด้วยกัน ไม่รู้ว่า คุณผู้อ่านจะเห็นด้วยหรือเปล่า
เดี๋ยวเรามาลองฟังกันดูนะครับ
ข้อที่ 1 ครับ ผมพบว่า จุดเริ่มต้นในการลงมือทำของทุกคน ก็เหมือนกับการเล่นเกม mmorpg ครับ
คือผู้เล่นใหม่ทุกคนต้องเริ่มต้นที่Level 1 เสมอ นั่นก็คือต่อให้เราเป็นใครมาจากไหนก็ตาม
หากเราเพิ่งเริ่มทำอะไรบางอย่าง เราจะไม่มีทางเก่งกว่าคนที่เริ่มต้นก่อนเราได้เลย
ยกตัวอย่างเช่นน้องปอ 1 ที่เพิ่งเริ่มหัดท่องสูตรคูณไม่มีทางท่องได้ก่อนพี่ป 4 ที่ท่องสูตรคูณมาก่อน 3ปีอย่างแน่นอน
คือถ้าใครดูหนังหรือการ์ตูนมาเยอะนะครับจะพบว่าพระเอก
ชอบมีสกิลเทพครับ เริ่มต้นที่หลังแต่กลับเก่งกว่าคนที่ทำมานานแล้ว
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ใช่น่ะสิครับ ผู้เล่นใหม่ที่เลเวล 1 ไม่มีทางเอาชนะผู้เล่นที่มีเลเวลสูงกว่าได้อย่างแน่นอน
ผมยกตัวอย่างเช่นเส้นทางการทำพอดแคสต์ของผม
ตอนนี้ผมก็ทำมาได้ประมาณ 2 เดือนกว่าแล้วนะครับ ก็ผลิตพอดแคสต์
ออกมาได้ 20 กว่าตอนแล้ว
ในขณะที่คนที่เริ่มทำก่อนผม ถ้าไม่นับคนที่เลิกทำไปแล้วหรือทำ ๆ หยุด ๆ นะครับ
บางคน เขามีพอดแคสต์เป็นพันตอนแล้วนะครับ
และนี่คือความจริงข้อแรกของการเริ่มต้นครับ
คนที่เพิ่งเริ่มทดลองทำอะไรบางอย่าง คนที่เพิ่งเป็นมือใหม่ มักจะมีความสามารถหรือมีทักษะที่อ่อนด้อยกว่าคนที่ทำมานานแล้วเสมอครับ
ส่วนข้อที่สองก็คือ
แต่ละคนจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองครับ
ถึงเราจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำเหมือนกับใครได้
เราก็คือเรา เขาก็คือเขา ต่างคนก็ต่างมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป
อารมณ์ประมาณว่า ท่าชู้ต 3 แต้ม ไม่แม่น ก็ต้องเลี้ยงลูกเข้าไปให้ใกล้แป้น
แล้วค่อยชุ้ตครับ คือความถนัดของแต่ละคน ข้อได้เปรียบของแต่ละคน
มันมีความแตกต่างกันอยู่ ดังนั้นการเปรียบเทียบคนที่เริ่มต้นพร้อมกัน
การมองว่าเขาพัฒนาเร็วกว่า อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ควรทำครับ
ข้อที่ 3 ข้อสุดท้ายนะครับ คนที่เพิ่งเริ่มต้นไม่เคยมองเห็นเส้นชัยครับ
เส้นทางที่เรากำลังจะมุ่งหน้าไป
ทิวทัศน์ที่เรามองเห็นไม่เคยมีเส้นชัยอยู่ตรงนั้น ดังนั้นคนที่เพิ่งเริ่มต้นส่วนใหญ่
จึงไม่ควรมองหาเส้นชัยครับ เพราะการเดินทางสู่ความสำเร็จนั้น มันค่อนข้างยาวไกลกว่าที่เราคิดมากเลย
หลายคนเดินไปสักหน่อย ก็เริ่มมองหาเส้นชัยกันแล้ว
พอหาไม่เจอก็รู้สึกท้อแท้แล้วก็อยากเลิกไป
ซึ่งนั่นมันเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากครับ
ก็จริงครับที่การทำอะไรบางอย่างเป็นเวลานาน
ๆ แล้วมองไม่เห็นปลายทาง
มันเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ แต่ คุณผู้อ่านครับ คุณผู้อ่านเคยสังเกตกันบ้างหรือเปล่าว่า
ตอนนี้เราเดินออกมาไกลจากจุดสตาร์ทมากแค่ไหนแล้ว
เห็นด้วยกับผมไหมครับว่า
มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำอะไรบางอย่าง มักจะมีความรู้สึกทั้ง 3 ข้อนี้อยู่เสมอครับ
คือเรามักที่จะอยากเก่งให้เร็ว
อยากเก่งกว่าคนที่ทำมาก่อนเรา เราอยากที่จะได้รับคำชื่นชมตั้งแต่ยังไม่มีผลงาน
เพราะเรามองว่าการเริ่มต้นที่ดี การเริ่มต้นที่ได้เปรียบ มันย่อมดีกว่า
แต่ความเป็นจริงแล้ว คนที่เพิ่งเริ่มต้นแต่กลับต้องการรางวัลและคำชื่นชมเลย
มักจะเดินไปได้ไม่ไกลหรอกครับ เพราะว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จมันค่อนข้างยาวไกล
ไม่มีใครคอยมานั่งชื่นชมคุณไปได้ตลอดทางหรอกครับ ในทางกลับกัน คนที่ จะคอยวิจารณ์และพูดให้คุณรู้สึกแย่
ในสิ่งที่คุณกำลังทำจะโผล่มาเรื่อย ๆ ครับ
และระหว่างที่คุณกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของคุณนั้น แน่นอนว่า คุณจะเดินแซงบางคนไป
แต่บางคนก็จะเดินแซงคุณไปแบบไม่เห็นฝุ่นเหมือนกัน
นั่นเพราะว่าข้อได้เปรียบและจังหวะของแต่ละคนมันต่างกัน
หลายคนพอโดนคนอื่นเดินแซงไป
ก็จะรู้สึกหมดกำลังใจ และล้มเลิกไปอีกเช่นกัน
ระหว่างทาง
คุณจะเริ่มเรียนรู้ที่จะพัฒนาความสามารถของตัวเอง ซึ่งหนึ่งในวิธีที่คนส่วนใหญ่ทำ
ก็คือ การมองคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่เดินนำหน้าตัวเองอยู่
ซึ่งการทำแบบนั้นก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีหรอกครับ แต่ คุณผู้อ่านต้องไม่ลืมนะครับว่า
แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เราก็คือเรา เขาก็คือเขา
บางอย่างเราอาจจะไม่สามารถทำแบบเขาได้ แต่หลาย ๆ อย่างเขาก็ทำแบบเราไม่ได้เหมือนกัน
ดังนั้นการนำความรู้ของคนอื่นมาประยุกต์ใช้ จึงเป็นเรื่องสำคัญครับ
และการมองข้อดีข้อเสียของตัวเองให้ออกก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
เมื่อเดินไปจนใกล้จะหมดแรง คุณผู้อ่านจะเริ่มมองเห็นว่า
ตอนนี้เรากำลังเดินอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครเดินแซงหรือเดินตามเรามาอีกแล้ว
เส้นชัยก็ไม่รู้อยู่ไหน
วินาทีนี้ล่ะครับ หลายคนจะเริ่มมีความคิด อยากล้มเลิกสิ่งที่ทำมาโดยตลอด
ในเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือประสบการณ์ อาจจะไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
สิ่งเดียวที่เราเหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือ สิ่งที่เรามีในตอนเริ่มต้น นั่นคือ ความเชื่อว่าตัวเราต้องทำได้
ทั้งหมดที่ผมเล่ามาซะยาวยืด คุณผู้อ่านเห็นใช่ไหมครับว่า มันมีหลายครั้งมาก
ที่เราอยากจะเลิกทำ ถ้าเราเริ่มต้นไม่ดีเราก็อยากเลิกทำ
ถ้าคนที่เริ่มต้นพร้อมเราหรือเริ่มต้นหลังเราเดินแซงเราไปเราก็อยากเลิกทำ
ถ้าระหว่างทางที่เดินมีคน วิจารณ์ว่าร้ายในทางที่ไม่ดีจนเราหมดกำลังใจ
เราก็อยากเลิกทำ
ถ้าเราเดินไปไกลจนเราเริ่มมองไม่เห็นว่ามีคนเดินในเส้นทางเดียวกับเรา
เราก็อยากเลิกทำ
สุดท้ายถ้าเราเดินมาไกลแต่กลับยังมองไม่เห็นเส้นชัยเราก็อยากเลิกทำ
มีคุณหมอท่านหนึ่งครับเคยพูดกับผมไว้ครับว่า
ถ้าคุณเริ่มต้นวันนี้คุณก็เริ่มต้นวันนี้แหละ แต่ถ้าคุณเริ่มต้นอีก 4 ปีข้างหน้า อีก 4 ปีข้างหน้านู่นแหละคุณก็เพิ่งจะเริ่มต้น
คุณผู้อ่านครับ ถ้าใครตั้งใจฟังดี ๆ จะเห็นว่า ไม่มีคำว่าความสำเร็จหรือเส้นชัย
หลุดออกมาจากปากของคุณหมอท่านนี้เลย เพราะเส้นทางที่คุณหมอกำลังบอกให้ผมเดินไป
เส้นชัยไม่สำคัญเลย
ถ้าเส้นทางที่เราเลือกเป็นเส้นทางที่เราอยากทำ
ไม่แน่บางทีเส้นชัยอาจจะไม่ได้สำคัญอย่างที่เราคิดก็ได้ครับ
เพราะการที่เราได้ลงมือทำในสิ่งที่เราอยากทำ
จุดเริ่มต้นอาจจะเป็นเส้นชัยของเราอยู่แล้วก็ได้
และนี่คือความจริงของการเริ่มต้นที่ใครหลายคนและรวมถึงตัวผมที่จะต้องประสบพบเจอ
อุปสรรคและความรู้สึกมากมายมันคอยบอกให้เราเลิกทำในสิ่งที่เราตั้งใจไว้
คุณผู้อ่านครับ
ยังจำคำถามเรื่องกบบนขอนไม้ที่ผมพูดไว้ข้างต้นได้ใช่ไหมครับ การตัดสินใจที่จะทำ
มันยังไม่พอ มันต้องลงมือทำจริง ๆ ด้วย แต่ถ้า คุณผู้อ่านทำมันไปสักพักแล้วเกิดตั้งคำถาม
บางที การลงมือทำอย่างเดียว อาจจะยังไม่พอ แต่เราต้องไม่ลืม ว่า อะไรคือเหตุผล
ที่ทำให้เราตัดสินใจ ที่จะทำมันตั้งแต่แรกด้วยนะครับ
เอาล่ะครับสุดท้ายนี้ถ้า คุณผู้อ่านตัดสินใจที่จะกระโดดลงจากขอนไม้แล้วก็อย่ารีรออีกต่อไปเลยครับ นับ 1-3 แล้วกระโดดเลย
สามารถฟังบทความดีๆ ในรูปแบบของพอดแคสต์ได้นะครับ
จาก บทสรุปฉบับแฮมแฮม พอดแคสต์
ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ^^
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น