บทความ วิธีดับความเหงา

 


คุณผู้อ่านเคยสงสัยกันไหมครับว่าความเหงามันเกิดจากอะไร มันเกิดจากเห็ดใช่ไหม เพราะว่าเห็ดเกิดจากความเหงา หยอกครับหยอก แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้ไร้สาระอย่างที่คิดก็ได้นะครับ เพราะว่าเหตุของความเหงาหรือต้นเหตุของความเหงา  มันอาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าที่เราคิดก็ได้ 

เมื่อวานนี้นะครับ ผมก็ได้นั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของความเหงาทั้งวันเลย ทำให้ผม พบว่าบทความแนว ๆ นี้นะครับ จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับต้นเหตุของความเหงาสักเท่าไหร่ครับ แต่พวกเขา จะกระโดดไปพูดถึงเรื่องของวิธีการขจัดความเหงาเลย 5วิธีแก้เหงา 10 วิธีขจัดความเหงา 15 วิธีเอาชนะความเหงา 

ซึ่งแต่ละวิธี ก็น่าสนใจมาก ๆ เลยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเหงานะก็จงไปหาอะไรทำ ไปดูหนังฟังเพลงเล่นเกมหรือออกไปเดินช็อปปิ้งก็ได้ 

ซึ่งถ้าคุณผู้อ่านคนไหนนะครับ เคยลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดูแล้ว  ก็จะพบนะครับว่า มันช่วยได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ช่วยได้แค่ครั้งคราว พอสักพัก เราก็จะกลับมาเหงาอีก 

มีคำแนะนำหนึ่งน่าสนใจมากครับ เขาบอกว่า ถ้าเราเหงานะ ให้เราลองไปเป็นจิตอาสาดูสิ ซึ่งผมเห็นด้วยนะครับ เพราะนอกจากเราจะมีอะไรให้ทำแล้ว เรายังจะได้ช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วย 

อีกคำแนะนำหนึ่งนะครับน่าสนใจมากครับ เขาบอกว่า ลองเข้าชมรมดูสิ การที่เราได้คบค้าสมาคมกับคนที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กับเรา  มันอาจจะทำให้โลกของเราเปิดกว้างขึ้นก็ได้

คำแนะนำสุดท้ายนะครับ ที่ผม รู้สึกว่ามันแปลกและแหวกแนวมาก นั่นก็คือ ถ้าคุณเหงานะ ลองไปเที่ยวคนเดียวดูสิ ตอนฟังครั้งแรกนะครับผมก็รู้สึกว่าโอ้โหเหงาจะตายอยู่แล้วจะให้ไปเที่ยวคนเดียวอีก นะ แบบนั้นไม่เหงากันไปใหญ่ เหรอ แต่เขาได้อธิบายเพิ่มประมาณว่าถ้าเราไปเที่ยวคนเดียวนะครับ เราก็จะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ เผลอ ๆ  อาจจะได้รู้จักคนใหม่ ๆ ผ่านการเดินทางก็ได้ 

สรุปก็คือเขาอยากให้เรา มีสังคมเพิ่มมากขึ้นนั่นเองครับ 

จากคำแนะนำที่ฟังมาทั้งหมดนะครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำแนะนำที่ทำให้เรา  เหงาน้อยลงได้ แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้นครับ พอเวลาผ่านไปนะครับ เราก็จะเหงาอีกอยู่ดี เพราะว่ามันไม่มีคำแนะนำ ไหนเลยครับ ที่พูดเกี่ยวกับการจัดการกับต้นเหตุของความเหงา 

ลองสมมุติแบบนี้ดูสิครับว่า คุณผู้อ่านเหงาเพราะว่าไม่มีแฟน คุณผู้อ่านก็เลยไปทำกิจกรรมต่าง ๆ  ที่ได้พูดไว้ข้างต้น ซึ่งมันก็อาจจะทำให้เรา  หายเหงาไปสักระยะหนึ่ง แต่พอวันหนึ่ง เราเกิดเจอคนมีคู่เดินจับมือกัน มันก็จะเกิดการเปรียบเทียบขึ้นอีกแล้ว ทำไมเขามีแฟนแต่เรากลับไม่มีใคร

เราก็จะกลับมารู้สึกเหงาอีกครั้ง

สังเกตไหมครับ ความเหงาที่เกิดขึ้นทั้ง 2 ครั้ง  มันมีต้นเหตุเป็นเรื่องเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่นวันนี้เราเหงาเพราะเราไม่มีแฟน เดี๋ยวคราวหน้าที่เหงาเราก็จะเหงาเพราะเราไม่มีแฟนเหมือนเดิม 

ถ้าวันนี้เราเหงาเพราะว่าเพื่อนไม่คบ เดี๋ยวคราวหน้าที่เกิดความรู้สึกเหงา เราจะเหงาเพราะเพื่อนไม่คบเหมือนเดิม

ดังนั้นการจัดการกับต้นเหตุของความเหงา น่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าการคลายเหงาด้วยวิธีต่าง ๆ ก็ได้นะครับ 

ผมยกตัวอย่างเหมือนไฟป่า ครับ พอเกิดไฟไหม้ขึ้นแล้วเราไปดับไฟ สักพัก ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นอีก เราก็ไปดับไฟอีก สักพักก็เกิดไฟไหม้ขึ้นอีกครับ แล้วเราก็จะต้องไปดับไฟอีก วนซ้ำอยู่อย่างนั้นนะะครับ ซึ่งการดับไฟ มันอาจจะช่วยทำให้ไฟดับได้แค่ชั่วคราวเท่านั้นครับ แต่การจัดการกับต้นเหตุหรือต้นตอของปัญหา  มันอาจจะทำให้ไฟดับไปตลอดก็ได้

ถ้าเรารู้และเราเข้าใจว่าต้นเหตุของความเหงาของเรามันเกิดจากอะไร แล้วแก้ไขให้ตรงจุด ผมว่าความเหงาก็จะเกิดยากขึ้นอย่างมากเลยครับ 

ถ้าแบบนั้นเรามาดูกันดีกว่าครับว่าความเหงามันเกิดจากอะไรได้บ้าง

 สมมุติถ้าผมไม่กินข้าว 3 วันนะครับ ผมก็จะหิวมากครับ แต่ผมจะไม่เหงา แน่ ๆ  ถ้าผมไม่อาบน้ำ 3 วัน ผมก็จะเหม็นมากครับ แต่ผมก็จะไม่เหงาเหมือนกัน 

แต่ถ้าผมไม่ได้พูดคุยกับใครเลย 3 วันนะครับ หรืออยู่คนเดียวไม่เจอใครเลยสัก 1 อาทิตย์ มันก็จะเริ่มรู้สึกถึงความเหงาใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นเราอาจจะพูดได้ว่าความเหงา  อาจจะเกิดจากความต้องการทางสังคมก็ได้ครับ 

ความต้องการความรัก ความสนใจจากใครบางคน การกลัวที่จะสูญเสียคนที่เรารักไป ทั้งในอดีด ปัจจุบัน และอนาคต ถ้าเรากำลังรู้สึกแบบนั้น ก็อาจจะทำให้เรา เกิดความเหงาขึ้นได้ 

ยกตัวอย่างเช่น เราเคยมีเพื่อนคนหนึ่งที่รักกันมาก แต่วันหนึ่งต้องแยกจากกันไปเพราะเขาต้องย้ายโรงเรียนกระทันหัน พอไม่ได้เจอกันก็เลนรู้สึกเหงา

ถ้าเรารู้แล้วนะครับว่าต้นเหตุของความเหงา มันคือความอยากมี อยากได้ ที่เกิดจากความต้องการของสังคม ซึ่งถ้าไม่มีหรือต้องสูญเสียมันไป ก็จะทำให้เราเหงา  คุณผู้อ่านก็ลองถามตัวเองดูดี ๆ สิครับว่าเราเหงาเพราะอะไร เหงาเพราะครอบครัว เหงาเพราะเพื่อน เหงาเพราะคนรัก 

บางคนก็บอกว่าไม่จริง เหรอก ฉันมีเพื่อนมากมาย แฟนก็มี ครอบครัวก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ฉันก็ยังคงเหงา ตรงนี้ขอแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นนะครับ ประเด็นที่ 1 ก็คือความรู้สึกที่คุณผู้อ่านกำลังรู้สึกอยู่  มันอาจจะไม่ใช่ความเหงา แต่อาจจะเป็นความรู้สึกอื่น ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกแย่ได้เหมือนกัน อย่างเช่นสอบตกก็เลยรู้สึกนอย ๆ โดนหัวหน้าด่ามาก็เลยรู้สึกไม่ดี เราต้องแยกให้ดีนะครับว่าความรู้สึกที่เรากำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้  มันคือความเหงาจริง ๆ หรือเปล่า 

ประเด็นที่2ก็คือความเหงามันเป็นความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาครับ ส่วนใหญ่คนที่เหงามักจะตอบตัวเองได้ว่าเราเหงาเพราะอะไร ดังนั้นถ้าคุณผู้อ่านตอบตัวเองไม่ได้ อาจจะต้องให้เวลากับตัวเองเพิ่มมากขึ้นอีกสักหน่อยนะครับ 

การที่เรามีครบทุกอย่าง  ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เหงานะครับ เพราะผมได้บอกไปแล้วว่าความเหงามันเกิดจากการที่เราได้รับความรักและความสนใจไม่มากพอ ครอบครัวของเราอาจจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแต่กลับไม่ค่อยพูดจาพูดคุยกันเลย เราอาจจะมีเพื่อนมากมายแต่คนที่จริงใจแล้วก็รักเราจริง ๆ อาจจะไม่มีเลยสักคน เราอาจจะมีแฟนก็จริงแต่เขาอาจจะเฉยชาและไม่มีเวลาให้กับเรา สิ่งเหล่านี้ก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเกิดความเหงาได้เช่นกันครับ 

 

ซึ่งถ้าถามผมว่าแล้วเราจะจัดการกับต้นเหตุของความเหงา ยังไงดี

ในเชิงปฏิบัติแล้ว ผมมีคำแนะนำสองข้อครับ

วิธีที่ 1  ก็ง่าย ๆ ครับ เราเหงาเพราะขาดอะไร เราก็ไปหาสิ่งนั้นมาเติมให้เต็ม 

โอ้โหพูดเหมือนทำได้ง่าย ๆ  สมมุติว่าเหงาเพราะไม่มีแฟน ก็เลยบอกให้ไปมีแฟน นะ ในโลกแห่งความเป็นจริงมันก็คงไม่ง่ายอย่างนั้น เหรอกครับ แต่เราก็สามารถมองมันเป็นเป้าหมายได้ใช่ไหมครับ 

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากมีแฟน เราก็ตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าฉันจะต้องมีแฟนให้ได้ แน่นอนครับเวลาเราว่าง ๆ เหงา ๆ   ถ้าเราไม่มีเป้าหมายนะครับเราก็จะไปทำเรื่องไร้ประโยชน์ครับ อย่างการดูหนังฟังเพลงเล่นเกม ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันอาจจะทำให้เราหายเหงาในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ต้นเหตุของความเหงานั้นหายไปเลย ดังนั้นถ้าเราเหงาเพราะเราไม่มีแฟนและเป้าหมายของเราคืออยากที่จะมีแฟนเราก็แค่ต้องทำในสิ่งที่จะเชื่อมโยงสู่การที่จะทำให้เรามีแฟนครับ 

อย่างเช่นเวลาเหงานะครับก็ให้ลองดูแลรูปร่างหน้าตาของตัวเองให้ดี ลองทำหน้าที่การงานของเราให้มั่นคง แล้วเมื่อมีโอกาส ก็หาทางเข้าสังคมเพื่อพบปะผู้คนให้มากขึ้น เมื่อเรารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไรเราก็จะรู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปล่าไปทำในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ 

 

 ซึ่งถ้าเรามีเป้าหมายให้เราพุ่งชนนะครับแล้วเป้าหมายนั้นก็ดันเป็นสิ่งเดียวกับ สิ่งที่ทำให้เราจะไม่เหงาอีกต่อไป เราก็จะไม่มีเวลามานั่งเหงา เพราะเรารู้แล้วว่าจะจัดการกับความเหงาได้อย่างไร 

 

ส่วนวิธีที่ 2 นะครับ เป็นวิธีที่ตรงกันข้ามกับวิธีที่ 1 เลย นั่นก็คือการปล่อยวางครับ 

เราก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ นะครับว่ามันไม่ใช่ทุกคน เหรอกครับที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากได้มาครอบครอง สมมุติถ้า ต้นเหตุของความเหงาเกิดจากการที่เราคิดถึงคนในครอบครัว แต่เผอิญว่าคนในครอบครัวของเราอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว ในกรณีแบบนี้เราจะไปหาใครมาแทนก็คงไม่ได้ใช่ไหมครับ 

หรืออีกกรณีหนึ่งนะครับ หลายครั้งหลายหนครับที่คนเรา ได้ทิ้งมิตรภาพดี ๆ  ความสัมพันธ์ดี ๆ ตกหล่นไว้ในอดีต ซึ่งแน่นอนว่าเราเดินกลับไปเอามันมาไม่ได้แล้ว 

ของบางอย่างมันเรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้วครับ การที่เราอยากได้อยากมีในสิ่งที่มันไม่มี เราก็จะต้องเหงาอยู่อย่างนั้นครับ 

บางครั้งนะครับความเหงา มันก็เกิดจากการที่เราคาดหวังครับ ว่าเราอาจจะมีสิ่งนั้นก็ได้ แต่คุณผู้อ่านทราบไหมครับว่าสมมุติว่าถ้าเราตัดทางเลือกนั้นออกไปเลย ยกตัวอย่างเช่น ดาราบางท่านนะครับที่เขารู้ตัวว่าชีวิตเขา ก็คงจะไม่เจอความรักดี ๆ อีกแล้ว เขาก็เลยเลิกสนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นครับ ตัดความคิดที่จะมีคนรักในชีวิตออกไปเลย แล้วเอาเวลา ไปทุ่มเทแล้วมอบความรักให้กับสังคมในด้านอื่น ๆ แทน เขาก็สามารถมีความสุขได้เหมือนกัน 

สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ คนเรา ไม่จำเป็นต้องมีสังคมที่ดีให้ครบทุกด้าน เหรอครับ ขอเพียงแค่เราสนใจและใส่ใจในสิ่งที่มี เพียงเท่านี้เราก็สามารถมีความสุขและไม่เหงาได้เหมือนกัน 

อีกเรื่องหนึ่งนะครับที่เป็นสัจธรรมมาก ๆ เลยก็คือ ไม่ว่าจะสังคมรูปแบบไหนก็ตาม ที่เราโหยหาอยากจะมี สุดท้ายแล้วมันจะหายไปหมดอยู่ดีครับ พ่อแม่ของเรา ยังไงก็ต้องตายจากเราไปในสักวัน คนรักของเรา รักกันยังไงสุดท้ายก็ไม่ได้ตายพร้อมกัน เหรอกครับ สุดท้ายแล้วเพื่อน ๆ  ก็ต้องแยกย้ายออกไปทำหน้าที่ของพวกเขา  ไม่มีใครอยู่กับเราไปได้ตลอด 

ดังนั้นอย่ายึดติดกับความเหงาที่เกิดจากความรู้สึกขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เลยครับเพราะไม่มีอะไรอยู่กับเราไปได้ตลอด การปล่อยวางอาจจะเป็นยาดีรักษาโรคขี้เหงาก็ได้ครับ 

ผมขอปิดท้ายด้วยประโยคประโยคหนึ่งที่ฟังมาจากซีรีย์เรื่อง Smallville ครับ ชีวิตก็แบบนี้ล่ะครับ บางครั้งก็เจ็บปวด บางครั้งก็สวยงาม และส่วนใหญ่ก็เป็นทั้งสองอย่าง 

ความเหงามันเกิดจากความคิดครับ ลองจัดการกับความคิด ด้วยสองวิธีที่ผมแนะนำไปดูสิครับ พุ่ง ชนเพื่อไขว่คว้า ไม่ก็ปล่อยวาง สุดท้ายแล้วคนที่เข้าใจความคิดของตัวเองได้ คือคนที่ไม่เหงาครับ


สามารถฟังบทความดีๆ ในรูปแบบของพอดแคสต์ได้นะครับ

จาก บทสรุปฉบับแฮมแฮม  พอดแคสต์

ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทความ แตะตัวทำให้ชอบกันได้ไหม

วิธีลืมความรักครั้งเก่า

ทำไมคุณถึงไม่ควรแคร์คำพูดของป้าข้างบ้าน

บทความ ทำนายชีวิตรัก ด้วยความรักทั้ง 6 รูปแบบ

บทความ เทคนิคการจีบสาว ฉบับเจ้าของเพจสายลมแห่งชีวิต