บทความ ผู้หญิงขั้วบวก
ผู้หญิงขั้วบวก
ผมเลือกหนังสือเล่มนี้มา ด้วยเหตุผลเดียวเลยครับ คืออยากจะรู้มุมมอง
แล้วก้แนวคิดของทางฝั่งคุณผู้หญิงบ้างนะครับ ว่าพวกเธอ มีทัศนคติในการมองโลกอย่างไร
แต่ปรากฏว่าหลังจากอ่านจบแล้ว ผิดคาดมาก ๆ ครับ หนังสือเล่มนี้
เป็นอะไรที่สุดยอดเกินคำบรรยายจริง ๆ
เริ่มจากหน้าปกก่อนเลยก็ได้ครับ คุณผู้อ่านจะเห็นนะครับว่าใต้คำว่า
ผู้หญิงขั้วบวก จะมีตัวหนังสือเล็ก ๆ อยู่ มันเขียนว่า รักแท้ไม่มีอยู่จริง แต่ความเชื่อที่ว่า รักแท้มีจริงต่างหาก
ที่เป็นของจริงและทรงพลัง
เห็นไหมครับ แค่ประโยคแรกก็ลึกซึ้งแล้วครับ
แต่จากการอ่านประโยคนี้นะครับ ก็ทำให้ผม คาดเดาได้นะครับว่า
หนังสือเล่มนี้ต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องของความรัก ในมุมมองของคุณผู้หญิงอย่างแน่นอน
โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นะครับ มีนามปากกาว่าคุณคำผกาครับ
เป็นสาวเชียงใหม่ ซึ่งเธอ เป็นนักเขียนดาวรุ่ง ในหมู่นักเขียนสาวแห่งยุคสมัยด้วยนะครับ
แล้วเธอ ก็ยังได้เป็นพิธีกร
ให้กับสถานีโทรทัศน์ออนไลน์ อย่างวอยซ์ทีวีด้วยครับ
ที่สำคัญคือเธอเป็นนักเขียนที่มีผลงานการเขียนมาแล้วถึง 20 เล่มกันเลยทีเดียว
เรียกได้ว่าเป็นนักเขียนที่ไม่ธรรมเลยนะครับ
โดยConcept ของหนังสือเล่มนี้นะครับ จะเป็นการบอกเล่าถึงแนวคิดของผู้เขียน โดย 1 บท ก็จะมี 1 แนวคิดครับ แต่จุดพีคของหนังสือเล่มนี้
มันไม่ใช่แค่แนวคิดนะสิครับ แต่มันเป็นสไตล์การเขียนของเขา
ที่มันแปลกและแหวกแนวมาก ๆ ครับ คือการเล่าเรื่องในหนังสือเล่มนี้นะครับ
จะเต็มไปด้วยคำเสียดสี แดกดัน ประชดประชัน ซะเป็นส่วนใหญ่ครับ คือผมอ่านไป 4 บรรทัดนะครับ
นึกว่าเขาด่า แต่ฟังไปฟังมาอ้าวเขาชม คือคำชมของเขาใกล้เคียงกับคำด่ามากครับ
แต่บางทีฟังเหมือนเขากำลังชมแต่พออ่านไปอ่านมากลายเป็นเขาด่าซะงั้น ซึ่งบอกตรง ๆ นะครับว่า
ผมไม่เคยอ่านแนวนี้มาก่อนเลย
ดังนั้นการรีวิวหนังสือเล่มนี้ ผมบอกได้เลยครับว่า
ต่อให้ผมรีวิวออกมาดีแค่ไหนก็ตาม มันก็เทียบกับการซื้อมาอ่านเองไม่ได้เหรอกครับ
เพราะสไตล์การเขียนและศัพท์เฉพาะบางคำที่ผู้เขียนหยิบยกมา
มันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขามาก ๆ
แต่อย่างไรก็ตามผมก็จะตั้งใจรีวิวออกมาให้ดีที่สุดครับ เผื่อว่าหนังสือเขาจะขายเพิ่มขึ้นได้บ้าง
ถ้ายังวางขายอยู่นะ
โอเค ในบทแรกนะครับ เป็นการเล่าถึงการสนทนาในวงดื่มไวน์นะครับ
ระหว่างผู้เขียนและเพื่อน ๆ สาวโสดของเธอ แต่ถึงพวกเธอจะโสด แต่ก็เป็นสาวโสดที่ผ่านการมีชีวิตคู่กันมาแล้วทั้งนั้นนะครับ
ดังนั้นห้ามบอกว่าพวกเธอไม่รู้จักความรักโดยเด็ดขาด
คือพวกเธอ ก็ได้เม้าท์มอยถึงชีวิตคู่
ของเพื่อนของเพื่อนอีกทีนะครับ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เอาเรื่องชีวิตคู่มาปรึกษาเพื่อน
ก็มักจะเป็นคนที่มีปัญหาชีวิตอยู่แล้ว
ดังนั้น แต่ละcase ที่พวกเธอยกมาเม้าท์มอยกัน ก็จะเป็นcase หนัก ๆ ทั้งนั้นเลย อย่างเช่นสามีทุบตี หรือภรรยานิสัยไม่ดีต่าง ๆ นานานะครับ
ซึ่งผู้เขียนก็ตั้งคำถามครับว่า
ถ้าเกิดชีวิตมันแย่ขนาดนั้นทำไมถึงต้องทนอยู่ต่อไปด้วยล่ะ ทำไมถึงต้องอดทน
ผู้เขียนมองว่าชีวิตคนเรานะครับ สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ถ้าคนที่คบอยู่ในปัจจุบันมันห่วยแตก
เราก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องทนอยู่กับเขา
อย่าให้การแต่งงานมาผูกมัดเราไว้ เพราะเราสามารถแต่งงานใหม่เมื่อไหร่ก็ได้เสมอครับ
ชีวิตคนเรา มีโอกาสในการเริ่มต้นใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ครับ
ซึ่งในบทต่อไปนะครับ ผู้เขียนก็ได้วิจารณ์ยกใหญ่เลยครับเกี่ยวกับเรื่องของการแต่งกายและก็เรื่องของการกินของคนไทย
ที่มันออกจะครึ่งครึ่งกลาง ๆ นะครับ ไม่สุดสักทาง คือเขาบอกว่าเรา กำลังยืนอยู่ตรงกลางนะครับ
ระหว่างความเป็นไทยและความเป็นตะวันตก ดังนั้นสิ่งที่เราทำมันจึงออกมาแปลก ๆ ครับ
ยกตัวอย่างเช่นการกินนะครับ บางคน ก็กินก๋วยเตี๋ยวแต่ใช้ตะเกียบไม่เก่ง
แถมการซูดเสียงดัง ความเป็นไทยของเราก็มองว่ามันไม่งาม ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากครับที่คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวขึ้นมา
วางบนช้อน แล้วค่อยรับประทาน ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่ามันขัดหูขัดตาเขามากครับ เพราะการกินก๋วยเตี๋ยว
ประเทศอื่นเขาไม่ได้กินกันแบบนี้ หรือจะเป็นเรื่องของการแต่งตัวก็เหมือนกัน
ผู้เขียนไม่เข้าใจครับว่า ทำไมคนมีอายุถึงต้องทำทรงผมโป่งพองและบาน
แถมยังต้องแต่งหน้าแบบจัดเต็ม
ชนิดที่เรียกว่าคิ้วเป็นคิ้วปากเป็นปากแดงแจ๋กันเลยทีเดียว อารมณ์ประมาณว่าถ้าเจอคุณป้าคนนี้ที่ต่างประเทศ
ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนไทย
โดยผู้เขียนมองว่า ทุกอย่างควรจะอยู่ในที่ในทางของมันครับ
ถ้ากินข้าวเหนียวก็ต้องใช้มือ
ถ้ากินอาหารกับมีดกับส้อมก็ต้องใช้มีดกับส้อมให้เป็นครับ การแต่งตัวก็เหมือนกัน
เราควรที่จะแต่งตัวให้ถูกกาละเทศะด้วย นั่นคือเราควรที่จะต้องรู้ครับว่า
งานไหนเราควรที่จะแต่งตัวแบบใด ถึงจะเหมาะสมที่สุด กระโปรงความยาวเท่าไหร่
ความสั้นเท่าไหร่ถึงจะดี งานกลางวัน งานกลางคืน จะสวมชุดแบบไหน
ถึงทำให้เราดูดีที่สุด
โดยผู้เขียนบอกว่าการแต่งตัวนั้นเราต้องดูดินฟ้าอากาศอาหารและกาละเทศะ
ด้วยครับ ไม่ใช่คิดว่าจะแต่งแบบไหนก็แต่ง
และแน่นอน นอกจากเรื่องของการแต่งตัวนะครับ
เรื่องของการดูแลผิวพรรณและใบหน้าก็เป็นสิ่งที่จำเป็น
จะปล่อยให้หน้ามันแผล็บก็ไม่ได้ การดูแลเสื้อผ้าผมผิวและเล็บ คือพื้นฐานเลยครับ
สำหรับการแสดงให้ผู้คนเห็นว่าเราให้เกียรติเขามากแค่ไหน ดังนั้นจงให้ความสำคัญกับมันครับ
สรุปก็คือการแต่งตัวให้ดูดี ให้เหมาะสม
เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เราจะรู้ได้ด้วยตัวเองครับ
ผู้เขียนบอกว่าเราต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
เวลาดูนิตยสารก็อยากดูแค่ว่า ดาราคนนี้ใส่สวยจัง งั้นเราซื้อมาใส่บ้างดีกว่า
แต่จงดูว่า เหตุผลอะไร เขาถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้ แล้วมันทำให้เขาดูดีขึ้นอย่างไร
ดังนั้นคนจะสวย สวยเพราะมีความรู้ครับ
ลูกผู้หญิงทุกคนควรหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
แล้วก็ในบทต่อมานะครับ เป็นอะไรที่ตลกมากนะครับ คือผู้เขียน เขาอ่านคอลัมน์หนึ่งครับ
ในนิตยสารออนไลน์ แล้วก็ปรี๊ดแตกขึ้นมาทันที คือบทความนั้นนะครับ เขาพูดถึงวิธีการทำอย่างไรให้ผู้ชายอยากเข้าใกล้
ครับ
คือผู้เขียนงงมากครับ
ว่าทำไมเขาถึงเขียนบทความเกี่ยวกับวิธีการที่ผู้หญิงพึงกระทำ
เพื่อให้ผู้ชายรู้สึกว่าเราอยากให้ผู้ชายเข้าใกล้
ยกตัวอย่างเช่น เราควรที่จะออกไปนั่งร้านกาแฟเก๋ ๆ แต่งตัวให้ดูดี
จากนั้นควรทำท่าทางให้เหมือนคนที่กำลังอารมณ์ดีเหมือนคนกำลังมีความสุข
คือผู้เขียนก็บอกว่า ลองมองโลกแห่งความเป็นจริงดูบ้างนะ
ผู้ชายที่ไปร้านกาแฟ เป็นผู้ชายแบบไหน
ผู้ชายส่วนใหญ่ถ้าเป็นหนุ่มหล่อนะครับ ก็มักจะมากับแฟนของเขาครับ มานั่งกินขนม
ถ่ายรูปเล่นกับแฟน ถ้ามาคนเดียว ส่วนใหญ่ก็จะเอาแท็บเล็ตกับโน๊ตบุ๊คมาด้วย
คือจะมาเนียนนั่งตากแอร์ ใช้อินเตอร์เน็ตฟรี ทำงานในร้านกาแฟนั่นแหละครับ
แล้วส่วนใหญ่ผู้ชายเหล่านั้น ก็จะก้มหน้าก้มตาดูแต่ในจอครับ
ไม่ค่อยจะสนใจโลกภายนอกสักเท่าไหร่
ดังนั้นถึงเราจะไปนั่งกาแฟ
นั่งโพสต์ท่าเหมือนคนกำลังมีความสุขที่มาคนเดียวก็ตาม ก็คงไม่มีใครเข้ามาจีบเหรอกครับ
ซึ่งผู้เขียนก็ตั้งคำถามครับว่า บทความแนวนี้ เขาเขียนขึ้นมาเพื่อใคร เขียนเพื่อเด็กสาว ๆ หรือเปล่า
ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเด็กสาว ๆ สดใส ๆ คงไม่สิ้นหวังถึงกับต้องมานั่งอ่านบทความแนว
ๆ นี้กันเหรอก
ดังนั้นบทความแนวนี้มีกลุ่มเป้าหมายคือผู้หญิงวัยกลางคนที่ยังโสดอย่างแน่นอน
ผู้เขียนบอกว่าบทความนี้มันไม่ได้บอกอะไรเราเลยครับนอกจากจะตอกย้ำอคติที่เชื่อว่า
หากจะมีใครสักคนลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายจีบ ฝ่ายนั้นจะต้องเป็นผู้ชายเสมอ
ส่วนผู้หญิงนั้นก็ทำได้แค่นั่งรออย่างเดี่ยวครับ
รอโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ รออย่างมีความสุข รอโดยไม่ให้ใครรู้ว่ากำลังรอ
โดยผู้หญิงนะครับ ต้องพยายามสารพัดวิธีครับ
เพื่อทำให้ตัวเองดูดีจนทำให้ผู้ชายชอบ ผู้ชายจะได้เข้ามาจีบ ผู้เขียนจึงตั้งคำถามว่า
แล้วทำไมผู้หญิงต้องพยายาม ต้องทรมานตนเอง เพียงเพื่อให้ผู้ชายชอบด้วยล่ะ
ทำไมเราต้องพยายามขนาดนั้น เพื่อที่จะได้เป็นเมีย
เพื่อที่จะได้เป็นแม่ ให้สมกับที่เกิดมาเป็นผู้หญิงด้วยล่ะ
ผู้เขียนมองว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ที่ผู้หญิงจะต้องพันธนาการตัวเองด้วยการฝากความหวัง
และอนาคตทั้งหมดของตนเองไว้ กับผู้ชายดี ๆ สักคน
ไม่แฟร์เลยที่ผู้หญิงจะทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อวันหนึ่งจะได้แต่งงานกับผู้ชายดี
ๆ
ผู้หญิงเราไม่ควรเอาความสุขของเราไปแขวนไหวกับคำว่า
มีหรือไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เราสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวของเราเองครับ
เพราะไม่มีใครเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับคุณเท่ากับตัวคุณเองอย่างแน่นอนครับ
ดังนั้นจงใช้ชีวิตอย่างอิสระเถอะครับ ไม่ต้องไปดิ้นรนแล้วผูกมัดชีวิตทั้งชีวิตของเราไว้กับผู้ชาย
อันนี้คือ 3 บทแรกนะครับ ที่ผมสรุปมาให้ฟัง เห็นไหมครับว่าจุดยืนของผู้เขียน ชัดเจนมาก ๆ เลย คือเขามองว่าผู้หญิงนะครับ
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผู้ชาย หากผู้ชายคนนั้น เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่อง
ผู้หญิงควรมีอิสระในการใช้ชีวิต ไม่ควรยึดติดอยู่กับกรอบความคิดเก่า
ๆ ที่เหมือนกับว่า
ต้องทำทุกอย่างเพื่อผู้ชายและคงจะอยู่ต่อไม่ได้ หากไม่มีผู้ชายอยู่ข้าง ๆ ในหนังสือนะครับ ผู้เขียน พยายามเน้นย้ำถึงสิทธิ์เสรีภาพในการใช้ชีวิตของผู้หญิงครับ
แล้วเขาก็จะได้สอดแทรกเกี่ยวกับเรื่องของการดูแลตัวเองในฉบับของผู้หญิงไว้เยอะแยะมากมายด้วยครับ
แล้วก็มีอยู่บทนึงครับ ที่ผู้เขียน ได้หยิบยกนะครับ เรื่องส่วนตัวของเพื่อนคนหนึ่ง
ของผู้เขียนนะครับ มาเล่าให้ฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ เขาบอกว่า
เพื่อนของเขาทั้งคู่นะครับ เป็นคนที่นิสัยดีมาก ๆ เลย
แต่ด้วยความที่เป็นคนสมัยใหม่นะครับ ทำให้พวกเขา เลือกที่จะอยู่อาศัยร่วมกัน
ก่อนที่จะแต่งงานกันครับหรือก็คืออยู่ก่อนแต่งนั่นแหละ และด้วยความคิดที่อยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระนะครับ
ทำให้ทั้งสอง ก็ไม่ได้คิดที่จะมีลูกกันแต่อย่างใด
แล้วดูเหมือนวิถีชีวิตของทั้งคู่นะครับ
ก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยครับ ยิ่งนานวันก็ยิ่งต่างกันไปเรื่อย ๆ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป เขาทั้งคู่จึงตัดสินใจกันได้ว่า
เราควรที่จะลดสถานะลงนะ จากแฟน ให้เหลือเพียงแค่เพื่อนก็พอ
ซึ่งการเลิกในที่นี้ คือการเลิกด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่ายนะครับ
ทั้งคู่ไม่ได้มีมือที่สามมาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทำให้ทั้งคู่ ก็ยังพูดคุยกันได้ เป็นเพื่อนกันได้ปกติครับ
และแน่นอนครับ ในเมื่อไม่ได้ผิดใจกัน ก็ไม่มีความจำเป็นที่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องย้ายออก
พวกเขาทั้งคู่จึงยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันต่อไปนะครับ
แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ลดสถานะลงแล้วนะครับ ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่ จะมีความสุขมากขึ้นครับ คือพวกเขา เถี่ยงกันน้อยลง
ทะเลาะกันน้อยลงนะครับ
พวกเขาก็ทำเหมือนเดิมทุกอย่างนั่นแหละครับ
เพียงแต่ไม่ได้นอนด้วยกันแล้วเท่านั้นเอง แล้วไม่ว่าอีกฝ่ายจะไปนอนกับใคร
อีกฝ่ายก็จะต้องไม่มาก้าวก่ายนั่นเอง
ซึ่งมีประโยชน์นึงครับที่ผู้เขียนได้เขียนไว้
แล้วก็เป็นประโยคที่ผมชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้เลย ผู้เขียนบอกว่า
เมื่อเราพูดถึงเรื่องของความสัมพันธ์ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของ 1+1=2 เสมอ
แต่ทำไมเราไม่เคยคิดบ้างล่ะครับว่า 3 - 1 ก็เท่ากับ 2 เช่นกัน จริง ๆ แล้วมันยังมีสมการอีกหลายรูปแบบครับ
ที่สุดท้ายผลลัพธ์จะเท่ากับ 2
คือความสุขในชีวิตของคนเรานะครับ แต่ละคู่หรือแต่ละคน มันก็แตกต่างกันออกไป ไม่จำเป็นว่าต้องมีแฟน
ต้องแต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่อบอุ่น ต้องแบบนั้นเท่านั้นถึงจะมีความสุขกับชีวิต
วิถีชีวิตของแต่ละคนก็ต่างกันครับ บางคนก็ใช้ชีวิตที่ต่างออกไปจากนี้
แต่พวกเขาก็มีความสุขได้เช่นกัน เหมือนกับเพื่อนของผู้เขียนในเคสนี้
ที่ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีชีวิตคู่เหมือนกับชาวบ้านเขา
แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ยังคงมีชีวิตที่มีความสุขได้ ไม่ต่างกับคู่อื่น ๆ เลย
นอกจากนี้นะครับผู้เขียนยังได้อธิบายถึงเรื่องของอารมณ์ทางเพศของคุณผู้หญิงด้วยครับ
คือเขาบอกว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติครับ
ผู้ชายมันจะชอบคิดว่าตัวเองมีอารมณ์อยู่ฝั่งเดียว
แต่ความจริงแล้วผู้หญิงก็มีเหมือนกันครับ ดังนั้นถ้าผู้ชายไปเที่ยวอาบอบนวดได้
ผู้หญิงก็สามารถซื้อบริการผู้ชายได้เช่นกัน
เขาบอกว่าผู้หญิงบางคนนะครับ ไม่ยอมเลิกกับสามีเพราะกลัวว่าถ้าเลิกไปแล้ว
จะไม่สามารถ
ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศกับใครได้ ซึ่งผู้เขียนบอกว่าเรื่องแบบนี้ต่อให้ไม่มีผู้ชาย
เราก็สามารถจัดการกับอารมณ์ทางเพศของเราเองได้ครับ
โดยสิ่งที่เรียกว่าเซ็กซ์ทอยนั้นเอง
ดังนั้นถ้าแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว หากเรายังไม่เจอผู้ชายที่ดีพอ เราก็อยู่กับของเล่นของเราไปเถอะครับ
เอาละครับ ในหนังสือเล่มนี้นะครับ ก็ยังมี Content ที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองความคิดของคุณผู้หญิง
อีกเยอะมาก ๆ ครับ
แต่ถ้าจะให้สรุปสั้น ๆ ก็คือ ผู้เขียน อยากจะให้ผู้หญิงทุกคนนะครับ
มีอิสระในการใช้ชีวิต ไม่ติดอยู่ในกรอบความเชื่อเก่า ๆ ที่ว่า เราขาดผู้ชายไม่ได้
ต้องอยู่ปรนนิบัติผู้ชาย และทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้ชายพึงพอใจ
ผู้หญิงบางคนถึงขนาดอยากตัดผมสั้นก็ตัดไม่ได้เพราะแฟนบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงผมสั้น
อยากแต่งตัวโป๊ก็แต่งไม่ได้เพราะแฟนไม่ให้แต่งตัวโป๊ อยากมีเพื่อนผู้ชายก็มีไม่ได้เพราะแฟนขี้หึงไม่อยากให้มีเพื่อนผู้ชาย
คือผู้เขียนไม่อยากให้เราตกอยู่ในอำนาจของความต้องการของผู้ชายครับ
ผู้หญิงเรามีอิสระในการใช้ชีวิตเท่า ๆ กับผู้ชาย
ดังนั้นถ้าอะไรที่มันจะทำให้เราอึดอัด หรือทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข
ก็จงอย่าทำครับ ผู้ชายก็เป็นมนุษย์คนนึงเหมือนกับผู้หญิงนั่นแหละครับ ดังนั้น
ไม่ต้องทำอะไรให้เขาเป็นพิเศษก็ได้ แค่ใช้ชีวิตอยู่กับเขา โดยยึดถือหลักการที่ว่า
เอาใจเขามาใส่ใจเราเพียงแค่นั้นก็พอแล้ว
ก็อย่างที่บอกนะครับว่า สุดท้ายแล้วหนังสือเล่มนี้ ความแซ่บของมันอยู่ตรงที่สำนวนแล้วก็ภาษาที่ผู้เขียนนำมาใช้ครับ
มันเป็นวิธีการเล่าเรื่องโดยใช้คำศัพท์ที่แหวกแนวมาก ๆ ดังนั้นถ้าไม่อ่านด้วยตัวเอง ผมเชื่อว่าคงจะเข้าเข้าถึงรสชาติของหนังสือเล่มนี้ได้ไม่เต็มร้อยอย่างแน่นอนครับ
อีกอย่างหนึ่งก็คือถึงมุมมองความคิดของผู้เขียนที่พยายามจะบอกเราในหนังสือเล่มนี้
ถึงมันจะสุดโต่งมาก ๆ ในหลาย ๆ เรื่องนะครับ
แต่ก็เป็นความคิดที่ฟังขึ้นทุกเรื่องเลยเช่นกัน ดังนั้นก็ถือเป็นหนังสือ 1 เล่มนะครับที่ผู้หญิงทุกคนควรที่จะลองอ่านดูสักครั้งหนึ่ง
เอาล่ะครับ การรีวิวครั้งนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ ถ้าหากชอบหนังสือดี ๆ แบบนี้นะครับก็ฝากกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วย นะครับ และนี่คือบทสรุปฉบับ แฮม แฮม พอดแคสต์ ขอให้ความสุขส่งไปถึงหัวใจแล้วพบกันใหม่ฝันดีครับ
สามารถฟังบทความดีๆ ในรูปแบบของพอดแคสต์ได้นะครับ
จาก บทสรุปฉบับแฮมแฮม พอดแคสต์
ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ^^
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น