บทความ I'm so worried

 



เรามักจะได้ยินกูรู้มากมายเลยครับ ชอบบอกเราว่าอย่ากังวลถึงอนาคตครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง กังวลไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ 

 

แต่เราส่วนใหญ่ก็รู้ดีครับว่า ความกังวลมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่จะหยุดกันได้ง่าย ๆ  

 

มีครั้งหนึ่งครับ ผมเคยพาลูกพี่ลูกน้องของผม ไปต่างจังหวัดกับผมด้วย ซึ่งเราตกลงกันว่าเราจะกลับมาให้ทันวันจันทร์ให้ได้ เพราะลูกพี่ลูกน้องของผมมีงานที่ทำค้างคาอยู่นะครับ 

 

ปรากฏว่า เมื่อถึงเวลาจริง ๆ   เรากลับมีภารกิจจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่ออีก 1 วันนะครับ ทำให้กลับล่าช้ากว่าที่กำหนด ต้องกลับวันอังคาร

 ด้วยเหตุนั้นครับ มันจึงทำให้ลูกพี่ลูกน้องของผม  กังวลใจเป็นอย่างมาก 

 

และตลอด 1 วัน 1 คืนที่ต้องอยู่ต่อ  เขาก็กังวลอยู่ตลอดเวลาครับ ไม่มีความสุขเอาซะเลย 

 

ผมจึงถามสาเหตุไปครับว่า สิ่งที่เขากังวล  มันคืออะไรนะครับ แล้วผมก็ได้คำตอบว่า 

 

เขากังวลเพราะว่า เขาต้องไปรับชุดที่ร้าน เพื่อที่จะใส่ไปทำพิธีบางอย่างที่โรงเรียนในวันพุธครับ ซึ่งเขากลัวว่าวันอังคารร้านอาจจะปิด แล้วถ้าเป็นแบบนั้น วันพุธเขาอาจจะไม่มีชุดใส่ก็ได้ 

 

พอผมฟังเหตุผลแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้นะครับ ว่าเค้ากังวลทำไม เพราะถ้าไม่มีชุดก็คงจะเข้าร่วมพิธีบางอย่างกับทางโรงเรียนไม่ได้ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเรื่องที่แย่ก็ได้ 

 

ผมจึงถามกับลูกพี่ลูกน้องผมไปครับว่า แล้วถ้าเกิดไม่ได้เข้าร่วมพิธีกับโรงเรียนจะเกิดอะไรขึ้น  

 

ลูกพี่ลูกน้องของผมจึงบอกว่า ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่มันจะดูน่าเกลียดเพราะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วม อาจจะมีคุณครูท่านอื่นถามได้ว่าทำไมเราไม่เข้าร่วม 

 

ผมจึงถามต่อไปครับว่า แล้วถ้าคุณครูถามแล้วเราบอกเหตุผลแล้วยังไงต่อ 

ลูกพี่ลูกน้องของผมจึงบอกว่า เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาก็แค่ถาม แต่พิธีนี้เป็นพิธีสำคัญมันก็ไม่ควรขาด

 

จากที่ผมฟังทั้งหมดนะครับ สรุปก็คือ ต่อให้ไม่ได้ร่วมพิธีที่ว่านี้ ลูกพี่ลูกน้องของผมก็ไม่ได้โดนตำหนิอะไรมากนักนะครับ 

 

จริง ๆ แล้วตัวตนที่แท้จริงของความกังวล สิ่งที่ลูกพี่ลูกน้องผมกลัวนักกลัวหนา มันไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย 

 

แต่ถึงอย่างนั้นนะครับ ผมก็พยายามหาทางออก ให้กับเขาโดยการบอกไปว่า สมมุติถ้าวันอังคารร้านปิดจริง ๆ  เราไปรับชุดวันพุธตอนเช้าได้หรือเปล่า 

 

ลูกพี่ลูกน้องของผมก็ตอบว่า ได้มันก็ได้แหละ แต่เขาก็กังวลอีกว่า ร้านอาจจะเปิดช้า และด้วยเหตุนั้นเขาอาจจะเข้าร่วมพิธีสาย 

 

ผมจึงบอกกับเขาไปว่า ขนาดไม่เข้าร่วมพิธี ยังแทบจะไม่มีใครว่าอะไร แล้วจะกลัวไปทำไมกับการเข้าสายนิดสายหน่อย 

 

พอลูกพี่ลูกน้องของผมคิดตามนะครับ เขาก็เริ่มที่จะใจเย็นลง และเริ่มปล่อยวางกับสิ่งที่จะต้องพบเจอ 

เขาได้ถอดหายใจออกมาครับ แล้วพูดออกมาว่า ช่างมันเถอะยังไงก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แล้วตั้งแต่วินาทีนั้นความกังวลของเขาก็หายไปเลยครับ 

 

เรื่องที่เกิดกับลูกพี่ลูกน้องของผมนะครับ เป็นเหตุการณ์ที่ผมบังเอิญสังเกตพบว่า แท้จริงแล้ววิธีจัดการกับความกังวลนั้น มันไม่ได้ยากเลยครับ 

 

ก่อนอื่นเลยก็คือ เราต้องทราบสาเหตุของสิ่งที่ทำให้เรากังวลก่อนครับ  คุณผู้อ่านกำลังกังวลเรื่องอะไร 

 

ต่อมาก็คือลองจินตนาการถึงบทสรุปที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น กับความกังวลของเรา ว่าสิ่งที่เรากลัวนักกลัวหนา  ตัวตนที่แท้จริงของมันหน้าตาเป็นอย่างไร 

 

บางทีนะครับสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เรากังวลจนเป็นทุกข์  ตัวตนที่แท้จริงของมัน อาจจะเล็กเท่ามดตัวเล็ก ๆ ก็ได้ครับ 

 

เราอาจจะโดนดุ อาจจะโดนด่า อาจจะโดนหักคะแนนนิดหน่อย  อาจจะอับอายเล็กน้อย หรืออาจจะเสียผลประโยชน์และเงินบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของความกังวล มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ครับ

 

ดังนั้นหากเราพยายามทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังกังวลมันคืออะไร แท้จริงแล้วเรากำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่ มันอาจจะช่วยลดความกังวลให้หายไป ก็เป็นได้นะครับ

 

อย่างไรก็ตามความกังวลก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียหรอกนะครับ เพราะคนที่มีความกังวลในระดับที่พอดีพอดีจะเป็นคนที่ระมัดระวัง  และรอบคอบกับทุก ๆ เรื่องครับ 

 

อย่าปล่อยให้ความกังวลทำให้เราเป็นทุกข์ 

 

 ทำในสิ่งที่ทำได้ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น นอกเหนือจากนั้น

ก็ช่างมันเถอะครับ 



สามารถฟังบทความดีๆ ในรูปแบบของพอดแคสต์ได้นะครับ

จาก บทสรุปฉบับแฮมแฮม  พอดแคสต์

ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ^^


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทความ แตะตัวทำให้ชอบกันได้ไหม

วิธีลืมความรักครั้งเก่า

ทำไมคุณถึงไม่ควรแคร์คำพูดของป้าข้างบ้าน

บทความ ทำนายชีวิตรัก ด้วยความรักทั้ง 6 รูปแบบ

บทความ เทคนิคการจีบสาว ฉบับเจ้าของเพจสายลมแห่งชีวิต