บทความ งานวิจัยความสุข

 


ถ้าพูดถึงเรื่องของความสุขนะครับ เชื่อว่า คุณผู้อ่าน  อาจจะเคยได้ยิน นิยามของมันมาแล้ว หลายต่อหลายครั้ง 

 

เรื่องเล่า แนวคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับความสุข มากมายที่เราเคยได้อ่าน และเคยได้ฟังมา และหลาย ๆ ครั้งนะครับ มันก็อาจจะฟังดูสมเหตุสมผล และน่าเชื่อถือมาก ๆ  

 

แต่เชื่อเถอะครับ ว่าไม่มีงานวิจัยใดที่เกี่ยวกับความสุขที่น่าเชื่อถือมากไปกว่านี้อีกแล้วครับ 

 

เพราะงานวิจัยที่ผมจะเล่าให้คุณฟังได้ฟังต่อจากนี้นะครับเป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของความสุข ที่ใช้เวลาในการศึกษานานที่สุดในโลกครับ 

 

พวกเขาศึกษา และหาคำตอบของคำถามที่ว่า ความสุขของมนุษย์คืออะไร 

 

ซึ่งผมจะบอกว่างานวิจัยชิ้นนี้นะครับ ได้ใช้เวลาในการศึกษาและหาคำตอบ  ถึง 75 ปีกันเลยทีเดียว ถึงขนาดที่ว่าต้องเปลี่ยนนักวิจัยนะครับ ถึง 4 รุ่นด้วยกัน เรียกได้ว่านอกจากงานวิจัยชิ้นนี้จะยาวนานที่สุดในโลกแล้วนะครับ นักวิจัยก็ยังจริงจังกันมาก ๆ อีกด้วย

 

ซึ่งเนื้อหางานวิจัยก็ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อนมากมายนะครับเริ่มจากนักวิจัย  ก็ได้แบ่งกลุ่มของอาสาสมัครนะครับออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน 

 

โดยกลุ่มที่ 1 นะครับคือ นักศึกษาชายชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จำนวน 268คนครับ

 และกลุ่มที่ 2 ก็คือ วัยรุ่นชายในบอสตัน อายุ 12 ถึง 16 ปี ที่ถูกเลี้ยงดูแบบตามมีตามเกิดนะครับ จำนวน 456 คนครับ 

 

รวมทั้งสิ้นนะครับ มีอาสาสมัครในการเข้าร่วมการทดลองที่ยาวนานที่สุดในโลกครั้งนี้  ถึง 724 คนกันเลยทีเดียว 

 

โดยเหตุผลนะครับ ที่ต้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม  

นั่นก็เพราะว่า เขาอยากจะให้เห็นถึงความแตกต่างครับระหว่างกลุ่มที่หนึ่งที่เป็นนักศึกษาฮาร์วาร์ด เพราะคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า นักศึกษาฮาร์วาร์ด  ถือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษาครับ เป็นคนฉลาดและก็น่าจะมีอนาคตไกล 

ซึ่งต่างจากกลุ่มที่ 2 ที่เป็นวัยรุ่นที่ถูกเลี้ยงดูในเมืองนะครับ ได้รับการศึกษาบ้าง ไม่ได้รับการศึกษาบ้าง

 

โดยงานวิจัยนะครับ เริ่มจากการติดตามศึกษาชีวิตของอาสาสมัครทั้ง 724คนครับ

 

นั่นคือทุก ๆ  2 ปีนะครับ อาสาสมัครทุกคนจะต้องมาทำแบบสอบถาม เกี่ยวกับความพึงพอใจในการใช้ชีวิตของตัวเองครับ ไม่ว่าจะเป็นด้านการงาน ด้านสังคม ด้านความรัก ด้านชีวิตส่วนตัว 

นักวิจัยยังได้เดินทางไปที่บ้านของอาสาสมัครทุกคนด้วยครับ เพื่อที่จะ ได้สอบถาม และพูดคุยกับญาติญาติ และคนรอบตัวของพวกเขานะครับ เรียกได้ว่าเก็บข้อมูลกันละเอียดยิบเลยทีเดียว 

 

และทุก ๆ  5 ปีนะครับ อาสาสมัครทุกคน  ก็จะได้รับการตรวจสุขภาพครับ ตรวจทุกซอกทุกมุมของร่างกาย สแกนสมองดูให้หมดว่า มีการพัฒนาและเติบโตอย่างไรบ้างนะครับ 

 

แล้วเมื่อเวลาผ่านไปนะครับ ก็ดูเหมือนกับว่า จะมีอาสาสมัครส่วนหนึ่งครับ ที่ประสบความสำเร็จในด้านการงานมีหน้ามีตาในสังคม มีเงินทองมากมาย ร่ำรวยนะครับ 

แล้วก็เป็นธรรมดาครับ ก็จะมีคนอีกส่วนหนึ่ง

ที่ประสบพบเจอกับความล้มเหลว ในชีวิตนะครับ รู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังกับชีวิตของตัวเองมาก ๆ  

บ้างคนนะครับ ถึงขนาดติดเหล้าหรือไม่ก็เสพยาเลยก็มี 

 

จนมาถึงตอนจบของงานวิจัยนะครับ 

จากกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครทั้ง 724คน  ผ่านไป 75 ปีก็ตายกันเกือบหมดแล้วครับ ปัจจุบันนี้เหลือรอดอยู่แค่ 60 คนเท่านั้น ซึ่งแต่ละคน  ก็อายุ90 ปี กันทุกคนแล้วนะครับ 

 

ก็คิดว่าถ้าทำการวิจัยต่อ  ก็คงจะไม่เหลืออาสาสมัครแล้วนะครับ งานวิจัยจึงต้องขอจบลงเพียงเท่านี้ 

 

เอาล่ะครับ เรามาฟังผลการวิจัยกันดีกว่า หลังจากได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างของอาสาสมัคร 724คน โดยการติดตามและศึกษาการใช้ชีวิตของพวกเขาทั้งชีวิตนะครับ 

 

นักวิจัยนะครับได้ค้นพบว่า 

ข้อที่ 1 ครับ  ความร่ำรวย ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้มีความสุขครับ 

ข้อที่สอง ความโด่งดัง การเป็นที่รู้จัก การเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้มีความสุขอีกเช่นกัน 

 

หรือแม้แต่การทุ่มเททำงานอย่างหนัก ทั้งชีวิต แล้วประสบความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้มีความสุขครับ 

 

ถ้าพูดเป็นภาษาเราก็คงจะแปลว่า ชื่อเสียง เงินทอง หน้าที่การงาน 

มันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงนั่นเองครับ 

 

เพราะเมื่อไปถึงจุด ๆ หนึ่งนะครับ อาสาสมัครที่ได้รับสิ่งเหล่านั้น หรือกำลังวิ่งไล่ตามสิ่งเหล่านั้นทั้งชีวิต  พวกเขากลับไม่มีความสุขในชีวิตของพวกเขาเลย 

แต่งานวิจัยชิ้นนี้ กลับค้นพบสิ่งที่น่าตกใจมาก ๆ ครับ เพราะพวกเขาค้นพบว่า จริง ๆ แล้ว  

คำตอบที่แท้จริงของชีวิตที่มีความสุข นั่นก็คือ  

 

การมีความสัมพันธ์ที่ดีนั่นเองครับ 

 

จากงานวิจัยครั่งยิ่งใหญ่ทีใช้เวลาศึกษากว่า 75 ปีนะครับ พวกเขาได้ ข้อสรุปที่เรียบง่ายมากเลยครับ เพราะพวกเขาค้นพบว่า คนที่ให้ความสำคัญและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนรอบตัว พวกเขาจะมีความสุขกับชีวิตอย่างแท้จริงครับ 

 

ซึ่งนักวิจัยรุ่นล่าสุดนะครับ เขาก็ได้วิเคราะห์ถึงเรื่องของความสัมพันธ์ไว้อย่างน่าสนใจมากครับ 

 

เขามองว่า เหตุผลที่คนส่วนใหญ่นะครับ เลือกที่จะละเลยและไม่ใส่ใจความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น แต่กลับไปวิ่งไล่ตามชื่อเสียงและก็เงินทองแทน  นั่นก็เพราะว่า 

 

ความสัมพันธ์  มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนครับ อาจจะฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่เอาเข้าจริง การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่นไว้  เป็นทักษะที่ต้องเข้าใจพอสมควรเลยทีเดียว 

 

ก็ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เราอาจจะสนิทกันนะครับ 

แต่อนาคต  เราอาจจะเลิกคบกันก็ได้ 

หรือวันนี้เราอาจจะรู้สึกดี ๆ ต่อกัน แต่วันนึงอาจจะทะเลาะกันด้วยเรื่องบางเรื่อง จนในที่สุดก็เลิกคบกันไปก็ได้ 

 

เพราะเรื่องของความสัมพันธ์มันอ่อนไหวและละเอียดอ่อนแบบนี้ไงครับ คนจึงรู้สึกว่า การทุ่มเท ลงทุน ลงแรงเพื่อความสัมพันธ์ที่ดี จึงเป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัย ก็มันไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่า วันข้างหน้า เราจะยังรู้สึกดี ๆ ต่อกันอยู่รึเปล่า 

 

ซึ่งต่างจากการสร้างชื่อเสียงและหาเงินทอง 

ที่มันตรงไปตรงมากว่านะครับ 

นั่นคือ ไม่ได้กำไร ก็ขาดทุน 

อีกอย่างนึงนะครับมนุษย์เรา  ถ้าตัดเรื่องความสุขออกไปนะครับ ยังไงการใช้ชีวิตมันก็ต้องใช้เงินครับ ดังนั้นไม่ว่ายังไงทุกคนก็ต้องหาเงินอยู่แล้ว 

 

แต่อย่างไรก็ตามนะครับ สิ่งที่นักวิจัยพูดไว้ก็คือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนั้น มีวิธีการอยู่ครับ แล้วมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด และที่สำคัญ สุดท้ายแล้ว ผลการวิจัยก็ออกมาแล้วด้วยไงครับว่า ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างจะทำให้เรามีความสุข 

 

ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไร ที่เราจะไม่สร้างความสัมพันธ์ที่ดี หากเราอยากที่จะมีชีวิตทั้งชีวิตที่มีความสุขครับ 

 

ความสัมพันธ์ที่ดี เริ่มต้นจากการเงย หน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ แล้วยิ้มให้ใครสักคนนะครับ ก่อนที่จะชวนพวกเขาออกไปทำอะไรสักอย่างนึง  

 

ค่อย ๆ สะสมช่วงเวลาดี ๆ ที่อยู่ร่วมกัน แล้ววันคือเหล่านั้น

จะถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นความสุข ที่ประเมินค่าไม่ได้ ในเวลาต่อมาครับ 



สามารถฟังบทความดีๆ ในรูปแบบของพอดแคสต์ได้นะครับ

จาก บทสรุปฉบับแฮมแฮม  พอดแคสต์

ทุกแพลตฟอร์มเลยครับ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทความ แตะตัวทำให้ชอบกันได้ไหม

วิธีลืมความรักครั้งเก่า

ทำไมคุณถึงไม่ควรแคร์คำพูดของป้าข้างบ้าน

บทความ ทำนายชีวิตรัก ด้วยความรักทั้ง 6 รูปแบบ

บทความ เทคนิคการจีบสาว ฉบับเจ้าของเพจสายลมแห่งชีวิต